วิธีง่ายๆ ในการถนอมดวงตา

ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการมองเห็น และการรับรู้สิ่งต่าง ๆ บนโลก ดวงตานั้นมีความอ่อนโยน และบอบบาง จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดูแลรักษาเป็นพิเศษ วันนี้ก็เลยถือโอกาสนำวิธีการถนอมดวงตาแบบง่าย ๆ มาให้ลองปฏิบัติกัน

- ควรใช้สายตาที่มีแสงสว่างเพียงพอและหลีกเลียงการเพ่งมองเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดตาได้

- ควรสวมแว่นตากันแดดทุกครั้งที่อยู่ในที่มีแสงจ้า

- ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือสกปรกขยี้ตา หรือใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า เพราะอาจจะมีเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่บนผ้าเช็ดหน้า มาทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบได้

- กรณีที่ใช้สายตานาน ๆ เช่น อ่านหนังสือ ก็ควรหาช่วงพักผ่อนสายตา ด้วยการทอดสายตาออกไปไกล ๆ หรือมองต้นไม้สีเขียวบ้าง

- การนอนอย่างเพียงพอในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี เป็นการพักผ่อนสายตาที่ดี

-การแต่งหน้าอาจทำให้เกิดถุงใต้ตา และรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย เนื่องจากเนื้อครีมเข้มข้นอาจใช้แรงกดในการทา ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยได้ ดังนั้นควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติบำรุงผิวหน้าและผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ ต้องมีเนื้อครีมที่บางเบา ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง

- ถ้าดวงตาเกิดอาการบวมแดงหรือดูอิดโรยไม่สดใส ให้ใช้สำลีชุบน้ำเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็ง มาวางไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น

- บริหารดวงตา โดยการกรอกลูกตาไปมาเป็นวงกลม เริ่มจากตามเข็มนาฬิกาครบหนึ่งรอบ แล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา ทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ กัน วันละ 2-3 ครั้ง หรือนอนหงายหรือนั่งหลับตาสักพัก แล้วใช้แตงกวาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ นำมาแปะไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง เมื่อลืมตาขึ้นมาจะทำให้ดวงตาดูมีชีวิตชีวาขึ้น

ถ้าอยากให้ดวงตาดูสดใสและมีเสน่ห์ก็ลองนำ วิธีเหล่านี้ไปปฏิบัติกันดูค่ะ

ใยอาหาร (Fiber) สำคัญกว่าที่คิด

ตามปกติเราทราบกันถึงความสำคัญของอาหารหลัก 5 หมู่ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ และไขมัน รวมทั้งพอจะทราบว่าต้องรับประทานอาหารให้หลากหลาย และครบทุกหมู่ในแต่ละมื้ออาหาร เพื่อที่ร่างกายจะได้แข็งแรงและมีสุขภาพที่ดี แต่นอกจากสารอาหารหลักดังกล่าว ยังมีสารอาหารประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในด้านเพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่ายและลดน้ำหนัก ซึ่งหลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อของ เส้นใยอาหาร หรือ ไฟเบอร์ (Fiber) กันเป็นอย่างดี

เส้นใยอาหาร หรือ ไฟเบอร์ เป็นสารประกอบน้ำตาลเชิงซ้อนที่มีโมเลกุลใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของพืช ผักและผลไม้ที่รับประทานได้ แต่น้ำย่อยในร่างกายของคนเราไม่สามารถย่อยและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งเมื่อผ่านลำไส้ใหญ่ บางส่วนจะถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ ทำให้กลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทนไฮโดรเจน น้ำและกรดไขมันสายสั้นๆ ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองใยอาหารจึงมีผลต่อการทำงานของลำไส้ และการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ในทางเดินอาหาร

โดยทั่วไป เส้นใยอาหารมี 2 ชนิด คือ ชนิดละลายน้ำได้ และ ชนิดละลายน้ำไม่ได้ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดมีความจำเป็นต่อร่างกาย สำหรับประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหารและการขับถ่าย คือเส้นใยอาหารจะทำหน้าที่คล้ายไม้กวาด กวาดหรือกำจัดสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายให้ออกไปจากทางเดินอาหาร นอกจากนนี้เส้นใยอาหารยังมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ จากลักษณะที่คล้ายฟองน้ำในกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยพบว่ามีการดูดซับน้ำมากกว่าน้ำหนักของตัวเส้นใยถึง 15 เท่า จึงทำให้เกิดการเพิ่มปริมาณน้ำหนักของเนื้ออุจจาระ ทำให้อุจจาระนิ่มลง ส่งผลให้ขับถ่ายได้ง่ายและเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้เป็นปกติ จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูก โรคอ้วน โรคผนังลำไส้โป่งพอง โรคริดสีดวงทวาร และอาจมีผลในการลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และความผิดปรกติอื่นๆ ในลำไส้

ในส่วนของเส้นใยอาหารที่มีบทบาทในการลดความอ้วน เพราะเส้นใยอาหารเมื่ออยู่ในกระเพาะจะละลายน้ำ แล้วกลายเป็นเจลที่มีความหนืดและเกาะตัว มีผลให้กระเพาะว่างช้าลงและอิ่มเป็นเวลานาน ทำให้ไม่รู้สึกโหยหรืออยากกินอะไรมากนัก ส่งผลให้อยากกินอาหารน้อยลง

บทบาทของเส้นใยอาหารมีความสำคัญต่อร่างกายมากกว่าที่คิด ดังนั้นหากในแต่ละมื้ออาหาร นอกจากอาหารหลัก 5 หมู่แล้ว การเพิ่มอาหารที่มีกากใยสูง เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารประเภทใยอาหารอย่างเพียงพอจึงมีความสำคัญ โดยควรบริโภคอาหารที่มีเส้นใยในปริมาณ 20 ถึง 25 กรัมต่อวัน และเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากคุณสมบัติของเส้นใยอาหารทั้ง 2 ชนิด ควรกินอาหารที่มีความหลากหลาย โดยแหล่งอาหารที่อุดมด้วยเส้นใยพบได้ในถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา รำข้าว ตามมาด้วยมะเขือพวง ผักกระเฉด เห็ดหูหนู แครอท สะเดา ข้าวสาลี บุก และธัญพืชต่างๆ ส่วนผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารก็เช่น ละมุด ฝรั่ง มะม่วงดิบ เป็นต้น รวมทั้งพวกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากอาหารเหล่านี้ก็เป็นแหล่งไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารที่ดีด้วยเช่นกัน เช่น ขนมปังโฮทวีต ผลิตภัณฑ์จากบุก เป็นต้น

เห็นอย่างนี้ ต้องบอกแล้วว่า ใยอาหาร...สำคัญกว่าที่คิดจริงๆ ! ที่สำคัญกว่าก็คือ สามารถหารับประทานได้ง่ายๆ และหลากหลายชนิด .. ใครที่อยากมีระบบขับถ่ายที่ดี หรืออยากผอม ก็ไม่ควรมองข้ามใยอาหารไปเสีย

สวยใสไร้สิวง่ายนิดเดียว

พักนี้อากาศบ้านเราสุดแสนจะแปรปรวน เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวแดดออก ทำเอาผิวหน้าอ่อนแอได้ง่ายๆ เป็นเหตุให้ “สิว” ได้ใจจู่โจมกันใหญ่ อย่างนี้ต้องเตรียมรับมือ เพื่อผิวสวยหน้าใสจะได้อยู่กับเราตลอดไป

สาเหตุการเกิดสิว

1.ปัจจัยภายใน
- พันธุกรรม
- ภาวะร่างกายผิดปกติ เช่น เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ท้องผูก
- ฮอร์โมนต่างๆ ทั้งฮอร์โมนเพศชาย ที่กระตุ้นต่อมไขมันให้ขับไขมันส่วนเกินออกมาจนเกิดการอุดตัน และฮอร์โมนเพศหญิงที่เปลี่ยนแปลงในช่วงก่อนมีประจำเดือน

2.ปัจจัยภายนอก
มลภาวะที่เราต้องเผชิญในแต่ละวัน ทั้งฝุ่นละออง ควันพิษ หรือแม้กระทั่งสารเคมีต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สเปรย์ฉีดผม ยาฆ่าแมลง รวมถึงคราบเครื่องสำอางที่ทำความสะอาดไม่หมด ทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้

วิธีดูแลผิว

1. ความสะอาดเป็นปราการป้องกันสิวด่านแรก ก่อนล้างหน้าสาวๆ ควรล้างคราบเครื่องสำอาง และสิ่งสกปรกที่เผชิญมาตลอดทั้งวัน ด้วยน้ำมันเนื้อเจลที่มี Bi – Continuous ช่วยทำความสะอาดผิวและสารตกค้างในรูขุมขนได้อย่างหมดจด ยิ่งถ้ามีส่วนผสมของ Ac Control Oil และ Tricocaban จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบ พร้อมคืนความชุ่มชื่นให้แก่ผิวได้ด้วย
2. ล้างหน้าด้วยสบู่ที่ไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งหรือมันจนเกินไป ด้วยเทคนิคง่ายๆ เพียงถูสบู่ลงบนฝ่ามือให้เกิดฟองนุ่มๆ แล้วนำฟองนั้นมาล้างหน้าอย่างเบามือ จำไว้ว่า การล้างหน้าอย่างรุนแรงจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองจนสิวลุกลามในที่สุด
3. หลังจากล้างหน้า ผิวอาจสูญเสียความชุ่มชื้นไปบ้าง จึงควรเช็ดผิวด้วยโลชั่นเพื่อปรับสมดุลและเรียกความชุ่มชื่นก่อนการบำรุงผิวในขั้นตอนต่อไป
4. ถึงคราวเติมความชุ่มชื่นและป้องกันสิว ด้วยการเลือกโลชั่นบำรุงผิวชนิด Oil – Free ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม และลดการทับถมตัวของเซลล์ผิวเสื่อมสภาพที่จะก่อให้เกิดการแพร่ตัวของแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุของสิว
5. สุดท้าย เพื่อป้องกันไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นไปกับการนอนในห้องปรับอากาศ แนะนำให้เก็บกักความชุ่มชื้นด้วย แป้งถนอมผิวที่มี Sulfer ช่วยลดการก่อตัวของสิว และ Hydrophobic Coating Powder ช่วยดูดซับซีบัมส่วนเกินและเอนไซม์ต่างๆที่ออกมาทำร้ายผิวยามหลับไหล

ป้องกันโรคภัยด้วยผักและผลไม้

การกินผักผลไม้เป็นสิ่งที่ดี และทราบหรือไม่ว่าสามารถป้องกันโรคได้ วันนี้มีเรื่องนี้มาฝากกัน

1. กินคะน้าตาไม่เป็นต้อ

คะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร “ลูทีน” ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย

2. กินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน

คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดงมาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น

3. กินแอปเปิลให้ปอดแข็งแรง

ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อปอดเป็นที่สุด เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ “เคอร์ซีทิน” สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร “เพกทิน” จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทินมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เปอร์เซ็นต์ การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย

4. กินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่

ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่นด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร “โอพีซี” (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชรา และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพดีก็หันมาทานผักผลไม้กันเยอะ ๆ ดีกว่าค่ะ

ผักผลไม้ทำให้ฟันขาวสะอาด

เมื่อติดชาหรือกาแฟมานาน ทำให้ฟันเหลืองไม่น่าดูพอเลิกได้แล้วฟันก็ไม่ขาวสะอาดเหมือนเก่า โชคดีที่ธรรมชาติได้มอบสิ่งที่ดีๆและแสนธรรมดาไว้ให้เรา คือพืชผักผลไม้นั่นเอง

แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่ายฝรั่ง แครอท และผักผลไม้สด หลายชนิด ที่เราจะต้องเคี้ยวมากๆเวลากิน สามารถทำหน้าที่ได้ดีราวกับผงซักฟอกเลยทีเดียว ทั้งยังมีคุณสมบัติบางประการที่ช่วยให้ฟันดูขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

ผักโขม ผักกาดหอม บรอกโคลี่ ก็ช่วยป้องกันคราบไม่ให้เกิดเกาะติดได้ง่าย โดยการสร้างเยื่อบางๆเคลือบผิวฟันซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นเกราะชั้นนอกอีกที

สตรอเบอร์รี่ นำมาใช้สีทำความสะอาดฟันได้อย่างอ่อนโยนราวกับยาสีฟัน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยฟอกฟัน ขจัดคราบเหลืองของชากาแฟได้อีกด้วย โดยปริผลสตรอเบอร์รี่สีแดงหอมหวานออกเป็นซีก แล้วนำเนื้อผลไม้นุ่มๆขัดถูบนผิวฟันโดยตรง

ผลไม้มื่อกินเข้าไปทำให้เราสวยได้จากภายใน เพราะวิตามินและกากใยทำให้ดูดีจากภายใน แล้วยังช่วยให้ฟันขาวสะอาดอีกด้วย เห็นผลสองต่ออย่างนี้ คงรู้กันแล้วนะว่าจะหาซื้อผลไม้อะไรกันบ้าง

วิธีง่ายๆ สลายเอวห่วงยาง

รูปร่างตุ้ยนุ้ยมักเกิดขึ้นง่ายคุณว่ามั้ยค่ะ ยิ่งเอวของคุณมีไขมันเกาะหนาขึ้นเท่าไรก็ยิ่งยากที่จะสลัดมันออก แต่ไม่ต้องกังวลกันนะค่ะเรามีวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยสลายเอวห่วงยางของคุณได้ด้วยตัวของคุณเองมาฝากกันค่ะ

- ตักทีละน้อย แล้วค่อยเติมใหม่ทีหลัง เป็นการสร้างนิสัยของคุณได้ในเรื่องของการเกรงใจ ละอายใจตัวเองบ้าง เมื่อคุณออกไปทานข้าวกับคนอื่น หรือจะได้ทานให้หมดในจานโดยไม่ต้องเหลือค้างไว้ แต่จงจำไว้ว่าทานแค่พออิ่มนะจ๊ะ

- ทนอด อดทน ค่อยๆ ลดปริมาณอาหารลงแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างพรวดพราดลดเดี๋ยวจะหน้ามืดเป็นลมเป็นแล้งได้

- เครียดไม่กิน หากคุณรู้สึกเครียดอย่าระบายความเครียดด้วยการกิน แล้วก็กินอย่างเดียว นอกจากจะทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัวแล้ว อาจจะเสี่ยงโรครุมเร้าได้ หาวิธีผ่อนคลายด้วยวิธีอื่นจะดีกว่าค่ะ

- ภาพวันวาน พยายามนึกถึงวันตอนที่คุณมีรูปร่างที่ดีที่สุด เป็นการเรียกกำลังใจที่จะสลายไขมันที่คุณมีออกไปได้บ้าง

- ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยแล้วอาทิตย์ละ 3 วัน หรือทุกวันก็ได้ถ้ามีเวลาแค่วันละ 20 นาทีก็สามารถที่จะช่วยสลายส่วนเกินที่ไม่ต้องการออกไปได้ แถมเพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกายด้วย

- ต้องน้อยกว่า โดยเฉพาะเรื่องของพลังงาน ใน 1 วันควรที่เผาผลาญพลังงานที่คุณกินเข้าไปให้มากที่สุด หรือกินไปเท่าไรก็ใช้ไปให้มากกว่า 1 เท่า

- ตั้งใจให้แน่วแน่ ใจเป็นสิ่งที่สำคัญ หากคุณสามารถที่จะควบคุมจิตใจของคุณได้ คุณก็สามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่วางอยู่ในจานข้างหน้าคุณไง

- ปฏิวัตินิสัยการกิน พยายามทานให้น้อยๆ วันละ 4-5 มื้อก็ไม่เป็นไร และในมื้ออาหารนั้นก็ควรที่จะมีผัก ผลไม้ร่วมอยู่ด้วยแทนที่จะเป็นอาหารขยะทั้งหลายแหล่

- สนุกเคี้ยว การเคี้ยวอาหารก็เหมือนกัน เมื่อตักอาหารเข้าปากแล้วก็ควรเคี้ยวให้ละเอียดที่สุด จะได้ย่อยง่าย และอิ่มเร็วขึ้น

- วัดรอบเอวบ่อยๆ จะช่วยให้คุณมีกำลังใจ เพราะเอวของคุณลดลงอย่างน่าอัศจรรย์

หากคุณปฏิบัติได้ตาม 10 วิธีนี้ รับรองได้เลยค่ะ หุ่นสวยของคุณกลับมาหาคุณแน่ๆ แค่คุณพยายามอีกนิด

5 ข้อสงสัยเรื่องระบบเผาผลาญ

ข้อมูลที่ช่วยแก้ข้อสงสัยของคนส่วนใหญ่ที่มักจะเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย 5 ข้อดังนี้ค่ะ

1. จริงหรือ? ที่ว่า เมื่ออายุมากขึ้น การเผาผลาญแคลอรีของร่างกายจะลดลง

ข้อเท็จจริง : เมื่อเราอายุมากขึ้น น้ำหนักตัวก็มักจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากมีการออกกำลังกายน้อยลงกว่าเดิม ส่งผลให้การเผาผลาญแคลอรีลดลงในแต่ละวัน ทำให้ร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อลดลง รูปร่างจึงเริ่มหนาขึ้น พร้อมกับมีอัตราการเผาผลาญพลังงานที่ลดลงด้วย ดังนั้น การบริหารกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือดเพื่อให้มีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น รวมถึงออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ก็จะช่วยควบคุมการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักที่เกิดจากวัยที่เพิ่มมากขึ้นได้เป็นอย่างดี

2. จริงหรือ? ที่ว่า ระบบการเผาผลาญแคลอรีในร่างกายของเรา ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้

ข้อเท็จจริง : เรามักจะพบว่าบางคนนั้นแสนจะโชคดีที่สามารถรับประทานอาหารได้ตลอดเวลา โดยที่น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจมาจากการเลืือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและให้แคลอรีต่ำก็ได้ หรือบางทีก็อาจเป็นเพราะว่าคนฯนั้นไม่ชอบอยู่นิ่ง แต่ชอบเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ ดังนั้น หากคุณต้องการให้ร่างกายมีการเผาผลาญได้มากขึ้น ก็ต้องพยายามเคลื่อนไหวร่างกายในระหว่างวันอยู่เรื่อยๆนะคะ เช่น เวลาอยู่ที่ทำงานก็อย่านั่งจุมปุ๊กอยู่แต่ที่โต๊ะ แต่ควรจะลุกขึ้นเดินยืดเส้น ยืดสาย เดินไปส่งงาน หรือไปหารือกับเพื่อนร่วมงานแทนที่จะส่งอีเมลถึงกัน

3. จริงหรือ? ที่ว่า อาหารหรือเครื่องดื่มเย็นๆ จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้ดีกว่าอาหารร้อนหรืออาหารที่มีอุณหภูมิระดับเดียวกับอุณหภูมิห้อ

ข้อเท็จจริง : พบว่าผู้ที่รับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มเย็น จะมีการเผาผลาญแคลอรีเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (ประมาณวัน 10 แคลอรี) โดยการเผาผลาญแคลอรีดังกล่าว มีสัดส่วนเพียงเล็กน้อย ซึ่งแทบไม่มีผลต่อการทำให้น้ำหนักลดลงเลย

4. จริงหรือ? ที่ว่า การลดการบริโภคแคลอรี ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญช้าลง

ข้อเท็จจริง : โดยธรรมชาติแล้ว ร่างกายของคนเราจะทำหน้าที่เก็บรักษาแคลอรีไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การลดการบริโภคแคลอรี จะทำให้แคลอรีสะสมในร่างกายลดลง ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญแคลอรีลดลง โดยไม่ส่่งผลกระทบต่ออัตราการเผาผลาญในร่างกาย ดังนั้น การบริโภคอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ ควบคูกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญแคลอรีในอัตราที่ปกติ

5. จริงหรือ? ที่ว่า เมื่องดบริโภคอาหารในตอนกลางคืนจะทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานช้าลงและทำให้เราลดน้ำหนักได้มากขึ้น

ข้อเท็จจริง : การหยุดบริโภค หลังจากมื้ออาหารปกติ จะช่วยให้มีน้ำหนักตัวลดลง เนื่องจากการบริโภคให้แคลอรีโดยรวมลดลง ไม่ใช่เกิดจากการบริโภคที่ให้แคลอรีเร็วกว่าเดิม ดังนั้น การบริโภคอาหารเพื่อให้ได้รับแคลอรีก่อนพระอาทิตย์ตกดิน จึงไม่มีผลให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น เว้นแต่คุณจะบริโภคอาหารที่ให้แคลอรีในปริมาณที่น้อยกว่าความต้องการของร่างกาย จึงจะสามารถช่วยให้ลดน้ำหนักได้

คอนซีลเลอร์เพื่อการปกปิดริ้วรอย

การปกปิดผิวหน้าในการแต่งหน้าทั่วไปนอกจากรองพื้นแล้ว คอนซีลเลอร์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการปกปิดข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆ บนใบหน้า ทั้งริ้วรอยจากวันเวลา หรือจากปัญหาผิวบางอย่าง เช่น รอยหมองคล้า รอยสิว ฝ้า ปาน หรือแม้แต่รอยเส้นเลือด เป็นต้น

สำหรับการใช้คอนซีลเลอร์ นั้นจะใช้หลังจากขั้นตอนรองพื้นเสร็จแล้ว ซึ่งจะช่วยส่งผลให้การปกปิดได้เนียนเป็นธรรมชาติ และทำให้ได้ผลได้ดีที่สุดอีกด้วย ดังนั้น หลักการเลือกและวิธีใช้คอนซีลเลอร์อย่างถูกวิธีก็คือ

- เลือกคอนซีลเลอร์สีที่ใกล้เคียงกับสีผิวของตัวคุณเองมากที่สุด ห้ามเลือกใช้สีที่อ่อนกว่า เพราะสีดังกล่าวจะทำให้จุดที่ต้องการอำพรางดูโดดเด่นขึ้นมาทันใด

- ถ้าต้องการปกปิดสิวหรือรอยแดง ควรเลือกใช้คอนซีลเลอร์สำหรับปกปิดสิวโดยเฉพาะ ซึ่งคอนซีลเลอร์ ชนิดนี้จะมีส่วนผสมที่ช่วยบรรเทาผิวบริเวณหัว ไม่ทำให้สิวอักเสบ และไม่อุดตันในรูขุมขนด้วยครับ

- ถ้าต้องการปกปิดรอยคล้ำใต้ตา เลือกใช้คอนซีลเลอร์แบบครีมหรือแบบลิควิด ที่ส่วนใหญ่จะบรรจุในรูปแบบแท่ง ใช้แต้มเป็นจุดๆ ตามแนวโค้งใต้ตา และใช้ปลายนิ้วเกลี่ยให้เนียนเรียบ โดยเกลี่ยในลักษณะกดซับเบาๆ เฉพาะบริเวณที่จะปกปิด

- ถ้าต้องการปกปิดรอยแผลเป็น ควรเลือกใช้รองพื้นแบบครีมที่มีเนื้อครีมค่อนข้างเข้มข้น และแต้มคอนซีลเลอร์แบบครีมหรือแบบลิควิดเป็นชั้นๆ ทีละน้อย กดซับเบาๆ สังเกตรอยแผลเป็นที่ต้องการปกปิดเลือนหาย

- ถ้าต้องการปกปิดรอยเส้นเลือด เลือกคอนซีลเลอร์แบบแท่งหรือแบบลิควิด ค่อยๆ แต้มคอนซีเลอร์ลงไปตรงจุดดังกล่าว กดซับเฉพาะจุดเบาๆ สังเกตรอยเส้นเลือดจางหายเมื่อปกปิดผิวบริเวณที่กล่าวมาแล้วนั้น ขั้นตอนสุดท้ายก็คือทาแป้งฝุ่นสีโปร่งแสงทับเป็นขั้นตอนสุดท้าย ถ้ารอยที่ปกปิดยังเห็นชัดอยู่ให้ใช้แป้งเค้กทูเวย์ทากดทับบริเวณดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ซึงวิธีนี้จะช่วยให้ผิวหน้าคุณสวยเนียนเรียบปราศจากริ้วรอย และจะช่วยให้รองพื้นและคอนซีลเลอร์อยู่ติดทนนานอีกด้วยค่ะ

การลดความอ้วนแบบไทยๆ

1. เพิ่มการทานสมุนไพร เช่น สมุนไพรช่วมเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน เมื่อเผาผลาญแล้วก็ต้องมีตัวพาออก ซึ่งเป็นสมุนไพรในกลุ่มช่วยระบาย ขับถ่ายเมือกมัน สมุนไพรช่วยเผาผลาญพลังงาน สลายไขมันแน่นอนต้องเป็นสมุนไพรที่มีรสร้อน เช่น ขิง พริกไทย ดีปลี สะค้าน รากเจตมูลเพลิง กานพลู กะทือ พลูเหลืองแกๆ เป็น้น

สมุนไพรช่วยระบาย เช่น ตรีผลา (สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม) หรือจตุผลาธิกะ ตัวยาเหมือนตรีผลา เพียงเพิ่มสมอเทศเข้าไปอีก 1 อีก ใบมะกา ผลส้มแขก ใบมะขามแขก ใบมะขามไทย ใบมะดัน ใบส้มเสี้ยว หรือจะให้ถ่ายแรงยิ่งขึ้น ก็ต้องใช้ฉินทสามการ ประกอบด้วย โกศน้ำเต้า สมอไทย รงทอง เป็นต้น

2. การอบตัว ช่วยขับของเสียออกทางเหงื่อออกตามรูขุมขนทั่วร่างกาย เมื่อออกแล้วมีกำลัง เลือดลมเดินดี สมุนไพรที่ใช้ในการอบตัว เช่น ข่าแก่ ตะไคร้แกง (ไม่ใช้ตะไคร้หอม เพราะจะบีบหัวใจ ให้เป็นลมได้) ผิวมะกรูด ใบคนทีสอ โด่ไม่รู้ล่ม ใบเปล้าใหญ่ ใบแจง ใบมะขาม ใบส้มป่อย เป็นต้น

การอบตัว อบครั้งละไม่เกิน 10 นาที ออกมาพักแล้วเข้าอบบต่ออีก 2-3 ครั้ง ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

เคล็็ดลับดูแลผิวพรรณ

ปัญหาผิวไม่เนียนเรียบที่พบได้ส่วนมาก ได้แก่ สิว ฝ้า กระ ริ้วรอย หลุมลึก แผลเป็น หน้าหมองคล้ำ ไม่ขาวใส ซึ่งการดูแลต้องเริ่มต้นตั้งแต่ภายใน ด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6 - 8 ชั่วโมง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ย่อยง่าย มีกากใยสูง โดยเฉพาะผักและผลไม้ และ อาหารที่มีวิตามินอี เอ และ ซี นอกจากนี้ควรดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร และควรออกกำลังกายด้วย วิธีแอโรบิค เอ็กซ์เซอร์ไซส์ (aerobic exercise) คือ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง เช่น เดินเร็ว วิ่ง ขี่จักรยานติดต่อกัน 25 - 30 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน

ในส่วนของการบำรุงและดูแลผิวพรรณ ควรหมั่นดูแลอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งเริ่มต้นดุแลผิวพรรณเร็วเท่าไหร่ยิ่งส่งผลดีต่อเรามากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุ 25 ปี ขึ้นไป ผิวพรรณจะเริ่มเสื่อมสภาพ สูญเสียน้ำและความชุ่มขื่นง่าย ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้น การป้องกันก่อนจะเกิดปัญหาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เริ่มต้นจากการทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายโครงสร้างผิวด้วยสารทำความสะอาดรุนแรง เช่นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดชนิดไม่มีฟอง ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และอุดตัน

ในส่วนการเลือกครีมบำรุงต้องปราศจากสารเคมีรุนแรงที่ทำให้แพ้ หรือก่อให้เกิดสิว ควรเลือกที่ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ เป็นที่ยอมรับในประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียอื่นๆ ตามมา ซึ่งควรมีทั้งเดย์ครีม และไนท์ครีม โดยช่วงเช้านอกจากครีมบำรุงแล้ง สิ่งสำคญที่ขาดไม่ได้คือ ครีมกันแดด เพราะแดดเป็นตัวก่อปัญหาหลายๆ อย่าง ทั้ง ฝ้า กระ ผิดแห้งกร้าน นอกจากนี้เมื่อเกิดรอยแผลเป็นควรรีบทำการรักษา เพราะหากปล่อยไว้นานจะทำการรักษายาก ซึ่งครีมที่มีส่วนผสมของ วิตามินอี วิตามินซี ฯลฯ จะช่วยบรรเทาได้ค่ะ

วิธีรักษาหุ่นไว้ให้ดี ไม่มีอ้วน

1. ตักอาหารไว้ในจานแต่พออิ่ม และไม่รับประทานเพิ่มอีก

2. ทานผักผลไม้ที่มีกากใยมากๆ เพื่อยึดพื้นที่ในกระเพาะและช่วยดูดซับไขมัน

3. ลดอาหารประเภทหวาน มัน เค็ม ของผัด ของทอด ของหวาน เนื้อวัว ไข่แดง แกงกะทิ กินเกาเหลา ยำผลไม้ ยำเห็ด ยำสารพัดผัก (สลัดแบบไทยๆ) ส้มตำ ไก่ย่าง (ไม่กินข้าวเหนียว)

4. ดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ น้ำเปล่านะ ไม่ใช่น้ำหวานหรือน้ำอัดลม

5. อย่าทำกิจกรรมอื่นร่วมกับรับประทานอาหาร เช่นดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ เพราะอาจจะเพลินไม่รูตัว

6. รับประทานอาหารให้น้อยแต่บ่อยครั้ง คือวันละ 5-6 มื้อ ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยลดความหิวและจะมีพลังงานมากขึ้น มีงานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่าการับประทานอาหารบ่อยๆ จะเพิ่มอัตราการเผาผลาญซึ่งจะทำให้เกิดการเผาไหม้แคลอรีมากขึ้น แต่ต้องไม่ใช่ของขบเคี้ยวของหวาน และน้ำอัดลม

7. เคี้ยวอาหารนานๆ และเคี้ยวให้ละเอียด ช่วยลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และช่วยให้เราไม่ทานอาหารมากเกินไป อวัยวะที่บอกความรู้สึกอิ่มของคนเราจะทำงานไม่ทันถ้าเรารับประทานอาหารเร็วเกินไป

8. ควรดื่มน้ำส้มสายชูวันละเล็กน้อย ประมาณ 1 ช้อนชา หลังอาหาร จะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายและอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยพอหญิงชราอายุประมาณ 80 ปี นั่งยองๆอยู่ เวลาจะลุกขึ้นยืนสามารถลุกขึ้นได้ทันที ไม่มีโอดโอย กระฉับกระเฉง แข็งแรงมาก ก็ได้ถามคุณยายว่าทานอะไรถึงแข็งแรงจัง คุณยายตอบว่าทานน้ำส้มสายชูทุกวัน วันละ 1 ช้อนชา อย่างไรก็ตามผู้ที่มีกรดในกระเพาะมาก หรือเป็นแผลในกระเพาะ ไม่ควรดื่ม

9. ดื่มน้ำชาพอสมควร ใบชามีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร และชะล้างไขมัน ดื่มเป็นประจำช่วยลดความอ้วนได้

10. ไม่ซื้อขนมหรือของกินจุบจิบติดบ้านไว้ มิฉะนั้นจะอดที่จะหยิบกินไม่ได้ ควรเปลี่ยนเป็นผลไม้ไม่หวานแทน เช่น ชมพู่ แพร์ แอปเปิ้ล กล้วยทุกชนิดไม่ควรรับประทาน เพราะคาร์โบไฮเดรตสูง

11. แปรงฟันทันทีหลังรับประทานอาหาร เพื่อกำจัดความอยากรับประทานอาหาร

12. ควรออกกำลังการยสม่ำเสมอ เพื่อเผาผลาญแคลอรีในร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่อนและลดความอยากอาหารได้มาก

13. พยายามหยิบจับทำงานบ้านบ้าง

14. นอนหลับ ความลับที่เพิ่งจะค้นพบก็คือ กล้ามเนื้อเรียบในร่างกายเราจะทำงานเผาผลาญแคลอรีได้ดีที่สุดในชั่วโมงหลังๆ ที่เราหลับสนิทเต็มที่ค่ะ ซึ่งร่างกายของคนเราต้องการการพักผ่อนอย่างเต็มที่อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง

15. ตั้งเป้าหมายกับตัวเอง อย่าลืมว่าการลดน้ำหนักต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่ายอมแพ้ง่ายๆ ค่ะ

เทคนิคการปัดมาสคาร่า

หากคุณเป็นสาวอินเทรนด์ที่เกาะติดกระแสแฟชั่นอยู่ตลอด คงจะเห็นได้ว่า เทรนด์แต่งหน้าในหลายปีที่ผ่านมา ยังคงความหลากหลายของโทนสี ตั้งแต่พาสเทลครบเฉด ชมพูหวานประกายมุก สีส้มอิฐ และม่วงไลแลคแบบทรอปิคอล ไปจนถึงสโมคกี้อาย ที่ไม่เคยตกเทรนด์ แต่ไม่ว่าสีสันจะเปลี่ยนไปกี่ฤดูกาล ความคมเข้มของมาสคาร่าสีดำขลับ เพื่อปิดท้ายการแต่งดวงตาให้สวยสมบูรณ์แบบ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

เมื่อมาสคาร่าเข้ามาเนส่วนสำคัญของการแต่งหน้า ให้อินเทรนด์ จึงมีความรู้มาฝากให้คุณสาวๆ ได้รู้ถึงกลเม็ดเคล็ดลับในการแต่งตาให้สวยด้วยมาสคาร่า เพื่อเพิ่มความคมเข้มให้ดวงตา ทำให้ขนตาดูยาวขึ้น และทำให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้นด้วยค่ะ

การเลือกซื้อมาสคาร่า

สิ่งที่ต้องพิจารณาอันดับแรกก็คือ คุณต้องทราบก่อนว่า ลักษณะขนตาของคุณเป็นแบบไหน และเมื่อปัดมาสคาร่าแล้ว อยากให้ลุคออกมาเป็นแบบใด เช่น ถ้าขนตาของคุณสั้น แต่หนา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คุณใช้มาสคาร่าแบบที่ต่อขนตาให้ยาวขึ้น หรือถ้าเนคนที่ขนตายาว แต่บาง ก็ควรใช้มาสคาร่าชนิดที่ ทำให้ขนตาดูหนาขึ้นและเข้มขึ้น เนื่องจากมาสคาร่าแต่ละสูตรจะมีระดับของแว็กซ์ หรือขึ้ผึ้ง และมีความเข้ฒข้นของเม็ดสีที่ต่างกัน จึงต้องอ่านฉลากให้ละเอียดกันหน่อย เช่นเดียวกับการเลือกเฉดสี อย่างเช่น สีดำ ก็มีตั้งหลายดำ ทั้งดำน้าตาล ดำเทา ดำเข็ม ซึ่งแต่ละดำก็ให้ลุคที่ออกมาสวยแตกต่างกันด้วย ของอย่างนี่จึงต้องลองให้เห็นกับ ถึงจะทราบว่า สีไหนเหมาะกับดวงตาและสีผิวของคุณมากที่สุด

แปรงปัด

เรื่องของแปรงปัดนี้ก็ต้องเลือกใช้ให้เหมาะเจาะเหมือนกันค่ะ อย่างบางคนคิดว่า ถ้าขนตาหนา ต้องใช้แปรงใหญ่ แต่จริงๆแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ต้องใช้แปรงแบบกว้างและหมุนเป็นเกลียวด้วย เพื่อให้เนื้อมาสคาร่าเกาะติดกับขนตาได้มากพอ และสามารถเคลือบขนตาได้ทั่วทุกเส้น หรือหากจะใข้กับมาสคาร่าที่ต่อขนตาให้ยาวขึ้น ก็ต้องใช้แปรงปัดแบบถี่ๆ จึงจะทำให้ปัดได้แม่นยำขึ้นและเกลี่ยเนื้อมาสคาร่าให้บางๆ ไม่จับเป็นก้อน

มาสคาร่ากันน้ำ

สำหรับสาวๆ ที่ชอบให้มาสคาร่าแบบกันน้ำ ก็ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า มาสคาร่ากันน้ำทุกยี่ห้อ จะมีสารทำละลาย ซึ่งจะทำให้ขนตาดูไม่หนาเข็มและบางทียังอาจจะทำให้ขนตาแห้งกรอบด้วย ซึ่งถ้ารู้สึกว่าขนตาเริ่มแห้งเมื่อไหร่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ conditioner บำรุงขนตา หรือลง prime ก่อนปัดมาสคาร่าก็จะช่วยให้มาสคาร่ากันน้ำติดขนตาได้ทนมากขึ้น

นอกจากจะแนะนำการเลือกซื้อแล้วเลือกใช้มาสคาร่าแล้ว ยังมีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกันด้วย เช่น

ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องมาสคาร่าจับตัวเป็นก้อน หรือเลอะเทอะเวลาปัด มีวิธีหลีกเลี่ยงได้ดังนี้ค่ะ เช็ดหรือปาดเนื้อมาสคาร่าส่วนเกินออกจากแปรงปัดซะก่อน และเวลาปัดก็ต้องหมุนแปรงปัดให้ครบรอบ จะช่วยเลี่ยงการเกาะเป็นก้อนได้ดี

และสิ่งต้องประการหนึ่งก็คือ อย่าปั้มแปรงมาสคาร่าเข้า – ออก จากแท่ง ก่อนปิด เพราะจะทำให้ได้แต่ลมเข้าไป ทำให้เนื้อมาสคาร่าในหลอดแห้งเร็วขึ้น เวลาใช้ก็จะดูเกรอะเลอะเป็นก้อนหนักขึ้นกว่าเดิมอีก

ข้อสุดท้ายคือ อย่าใช้มาสคาร่าร่วมกับคนอื่น และควรเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 3 เดือน เนื่องจากเชื้อแบคที่เรียสามารถเดิบโตในหลอดที่เราใช้ได้

บำรุงผมสวย ด้วยวิตามินจากอาหาร

ปัญหาผมร่วง หากเกิดกับผู้หญิงคนไหนแล้วก็แทบจะเป็นฝันร้ายเลยที่เดียวนะคะ ปัญหาผมร่วงมักเกิดจากการที่ร่างกายขาดวิตามิน B (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน B6) แม้ว่าร่างกายจะต้องการวิตามินมากมายหลายชนิดเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้มีสุขภาพดี แต่ก็ยังมีวิตามินจากธรรมชาติบางชนิดที่เสริมสร้างการเจริญเติบโตของเส้นผมโดยเฉพาะ เช่น วิตามิน B5 (กรดแพนโทธีนิก และวิตามิน B3) ดังนั้น เมื่อจะเสริมวิตามินบำรุงเส้นผม ควรจะเจาะจงแหล่งอาหารดังต่อไปนี้คะ

วิตามิน A : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ช่วยในการสร้างซีบัม หรือน้ำมันใต้หนังศีรษะ อาหารที่อุดมด้วยวิตามิน A จะมีมากในน้ำมันตับปลา เนื้อแดง นม เนยแข็ง ไข่ ผักโขม บร็อคโคลี่ กะปล่ำปลี แครอท แอพริคอท และลูกพีช


วิตามิน C : มีหน้าที่โดยตรงในการช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน C ได้แก่ ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว สตรอว์เบอร์รี่ กีวี แคนตาลูป สัปปะรด มะเขือเทศ และผักใบเขียวเข้มทั้งหลาย

วิตามิน E : ช่วยเพิ่มการสูบฉีดและไหลเวียนของเลือดไปหล่อเลี้ยงหนังศรีษะ พบได้มากในอาหารประเภทน้ำมันพิช น้ำมันจมูกข้าวสาลี ถั่วเหลือง เมล็ดพืช ถั่ว และผักใบเขียวทั้งหลาย

ไบโอติน : มีคุณสมบัติคล้ายสารต้านความแก่ ช่วยป้องกันผมร่วงและผมหงอก มีมากในอาหารประเภทเมล็ดธัญพืชทั้งหลาย ไข่แดง ตับ ข้าว และนม

อีโนซิตอล : ช่วยให้เซลล์รากผมแข็งแรง มีสุขภาพดี พบได้มากในเมล็ดธัญพืช ตับและผลไม้รสเปรี้ยว

ไนอาซีน หรือวิตามิน B3 : ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด มีมากในจมูกข้าวสาลี ปลา ไก่ และเนื้อแดง

กรดแพนโตธีนิก : ช่วยป้องกันผมหงอกและผมร่วง พบได้มากในโฮลเกรนซีเรียล เครื่องในสัตว์ และไข่แดง

วิตามิน B6 : องกันผมร่วง มีมากในบริวเวอร์ยีสต์ ตับ โฮลเกรนซีเรียล ผัก เครื่องในสัตว์ และไข่แดง

วิตามิน B12 : ป้องกันผมร่วง มีมากในเนื้อไก่ ปลา ไข่ และนม

เคล็ดลับเพิ่มความสวยด้วยผม

เส้นผมและทรงผมเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมบุคคลิกภาพของคนเราได้ ไม่แพ้เสื้อผ้าหรือหน้าตา ผมทำให้คุณดูดีได้พอๆ กับทำให้คุณแย่ได้เช่นกันคะ อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าคุณเหมาะกับทรงผมแบบใด แต่ถ้าเส้นผมมีสุขภาพดีเสียอย่าง ทำผมทรงแบบใด ก็น่าจะทำให้คุณดูดี ใช่ไหมคะ

นี่เป็นเคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณสวยด้วยผม

- เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผมที่เหมาะกับสภาพผม หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรงๆ ซึ่งอาจทำลายสมดุลของสุขภาพผมได้

- การสระผมที่ถูกต้อง คือชโลมแชมพูหรือครีมนวดผมตั้งแต่โคนผมจรดปลาย ลูบเบาๆ แค่พอชำระคราบสกปรกออกไป การรวบผมทั้งหมดขึ้นมาขยี้บนศีรษะ จะทำให้ปลายผมแห้งแตกและหยาบ

- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนสระผม เพราะจะทำให้หนังศีรษะแห้งและลอก ผมจัดทรงยาก

- การนวดหนังศีรษะขณะสระผม ทำให้เลือดหมุนเวียนดี ผมจะแข็งแรงและเงางาม

- คุณสามารถหมักผมแบบประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาได้ โดยใช้น้ำมันมะกอกชโลมเส้นผมให้ทั่วพอประมาณ คลุมผมด้วยหมวกอาบน้ำ้ ดรายผมโดยปรับระดับความร้อนต่ำนานประมาณ 15 นาที แล้วสระออก

- ถ้าคุณมีเส้นผมและหนังศีรษะมัน แชมพูชนิดที่เป็นน้ำใสๆ เหมาะกับคุณมากกว่าชนิดเป็นครีมข้น

- โรยแป้งผุ่นที่แปรงหวีผมเล็กน้อยก่อนแปรงผม เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ผมหวีง่ายและเงางาม

- ก่อนจะใส่มูสลงบนเส้นผม ให้ถูมูสที่ฝ่ามือเสียก่อน ความร้อนจากร่างกายจะช่วยให้เสริมประสิทธิภาพของมูสให้จัดแต่งทรงผมได้ดีขึ้น

- นอนเอาศีรษะห้อยออกนอกเตียง แล้วแปรงผมจากท้ายทอยจรดปลายอย่างต่อเนื่องวันละ 5 นาที เป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี และรังแคก็จะหายไป

- การเสริมสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเส้นผมจากภายใน ด้วยการเลือกกินอาหารก็จำเป็นเช่นกัน ถ้าคุณต้องการให้ผมเงางามควรกินสารอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูง เช่น ฟักทอง มะละกอ หรือแครอท และควรเสริมวิตามินซีและอี ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก จากอาหารจำพวกข้าวไม่ขัดขาว ข้าวสาลี ไข่ ถั่ว นม ธัญพืช ผักผลไม้ และตับ เพื่อบำรุงเส้นผมด้วย

- หมั่นเล็มปลายผมทุก 8-10 สัปดาห์ ปิดท้ายด้วยการหลีกเลี่ยงการรัดผม มัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่นเพื่อลดความเครียดและป้องกันปัญหาศีรษะล้านได้

- เวลาเปิดแม็กกาซีนแล้วเจอรูปนางแบบหรือดาราที่ตัดผมทรงที่คุณชอบ อย่าได้มองผ่านเลยไปเชียว ให้ตัดเก็บไว้ก่อนเลย ถ้านึกอยากเปลี่ยนทรงผม ให้นำรูปนั้นไปที่ร้านทำผมด้วย (ดีกว่าไปนั่งเสียเวลาเลือกแบบผมจากที่ร้านเป็นไหนๆคะ)