รักษาดวงตาเมื่อต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

คุณเคยรู้สึกเมื่อล้าดวงตา เนื่องจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ หรือไม่ เชื่อว่าสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ต้องเคยสัมผัสกับอาการเหล่านั้นแน่นอน ซึ่งวันนี้เราก็มีเคล็บลับสำหรับผู้ที่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์มาฝาก เพื่อรักษาดวงตาคู่สวยของคุณให้ใสอยู่ตลอด

1. หมั่นกระพริบตาให้บ่อยขึ้น

อาการตาแห้งเกิดจากเมื่อเรามีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20-22ครั้ง ต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้ง ต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ก็ต้องกระพริบตาบ่อยขึ้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม

ปรับความสูงของจอให้เหมาะสม โดยระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเรา ควรอยู่ระหว่าง 20-28 นิ้ว หรือประมาณ 1 ช่วงแขน จุดศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์ควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ไม่ควรอยู่สูงหรือต่ำกว่านี้มากนัก และควรจะตั้งตรงหน้า ตำแหน่งการวางคอมพิวเตอร์ควรจะให้หน้าต่างอยู่ด้านข้างของโต๊ะ เพื่อป้องกันไม่ให้แสงตกสะท้อนหน้าจอ

3. ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น

4. เลือกแว่นที่ใช้กับคอมพิวเตอร์

ควรใช้เลนส์สีชมพูอ่อน จะช่วยให้สบายตาขึ้นภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ สำหรับคนที่ใส่แว่นควรปรึกษาจักษุแพทย์

5. หยุดพัก ทุกๆชั่วโมง

ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายสัก 10 นาที เพื่อพักสายตา และป้องกันไม่ให้เกิดความเมื่อยล้า

6. เปลี่ยนจอใหม่

เลือกใช้จอชนิด LCD (จอแบน) แม้ราคาจะแพงกว่าจอธรรมดา (CRT) แต่ช่วยถนอมตาได้มาก

รอยคล้ำตาใต้ ปัญหาหนักใจสาวๆยุคใหม่

ปัญหารอบดวงตามีรอยคล้ำ เกิดจากการมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น การพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึงกรรมพันธ์ุ ฯลฯ ฉะนั้นหากรอบดวงตามีรอยคล้ำ สาวๆ ไม่ควรนิ่งนอนใจควรจะหาทางลดปัญหาเหล่านั้น เพราะเมื่อรอบดวง ตามีรอยคล้ำ ก็จะทําให้เวลาแต่งหน้าหรือแต่งเติมสีสันบนเปลือกตาทําได้ยาก เมื่อทาอายแชโดว์แล้วจะไม่ได้สีตามที่ใจปรารถนาเสมือนการระบายสีบนกระดาษสี หม่นย่อมไม่ได้สีสวย นอกจากนั้นรอยคล้ำยังทําให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าหมองคล้ำไม่สดใส และดูแก่กว่าวัยอีกด้วย

แม้ปัญหาความหมองคล้ำเหล่านี้ จะสามารถกลบเกลื่อนได้ด้วยการแต่งหน้าอย่างมืออาชีพ แต่เพื่อความกระจ่างใสอย่างยั่งยืนแล้ว การแก้ไขจากต้นเหตุน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง อาทิ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียดและการใช้งานของกล้ามเนื้อดวงตาให้น้อยลง ประกอบกับการใช้ผลิตภัณฑ์บํารุงที่ทรงประสิทธิภาพด้วยส่วนผสมของวิตามินซี ที่ช่วยลดเลือนรอยหมองคล้ำและปรับสีผิวรอบดวงตา ควบคู่กับการนวดลดเลือนรอยคล้ำใต้ตา ก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้รอยหมองคล้ำรอบดวงตาหายไป และผิวหน้าก็จะดูเปล่งปลั่งขึ้นด้วยเช่นกัน

ข้อแนะนําเพื่อดวง ตากระจ่างใส

- หลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมือขยี้ตา เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ตลอดจนอาจเกิดการอักเสบอันเนื่องมาจากเชื้อโรคที่ติดอยู่บนมือทั้งสองข้าง ถ้ารู้สึกคันหรือระคายเคืองตา ให้ใช้น้ำยาล้างตาหรือใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดซับเบาๆ พอให้หายคัน

- เมื่อดวงตาเกิดความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ลองหาแตงกวาฝาน หรือถุงชาที่ใช้แล้วแบบแช่เย็น วางไว้บนเปลือกตาสองข้าง นอนพักสักครู่ จะช่วยให้อาการอ่อนล้าดีขึ้น

- การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้ว หรือ 2 ลิตร จะช่วยป้องกันรอยคล้ำใต้ตาได้

เคล็ดลับสำคัญในการชะลอความแก่และริ้วรอย

หลีกเลี่ยงแสงแดด

พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. เพราะเป็นช่วงที่มีรังสีอัลตราไวโอเลต UV สูงสุด และหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็ควรจะหาเกราะป้องกันให้กับผิวพรรณด้วยการทายากัน แดดที่มีค่า SPF Sun Protecting Factor อย่างน้อย 15 ขึ้นไป โดยทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที ที่สำคัญคือควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่มีน้ำหอมเจือปน เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นเสมอ

หลีกเลี่ยงการทับ

ท่านอนนับเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการนอนท่าเดิมตลอดเวลาจะทำให้เกิดรอยย่นในด้านที่ถูกทับได้ ฉะนั้นจึงควรเปลี่ยนท่านนอนบ่อยๆ และใช้หมอนทางเตี้ย เพื่อป้องกันผิวหนังย่นจากรอยทับ พยายามหลีกเลี่ยงการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ เพราะจะให้รอยย่นเด่นชัดขึ้น และเมื่อต้องอยู่กลางแดดจ้า ก็ควรที่จะสวมแว่นกันแดด หมวกหรือกางร่ม เพื่อลดอาการหยีตาซึ่งจะเพิ่มรอยตีนกาบริเวณหางตาให้มากขึ้น

ดูแลผิวให้ชุ่มชื้น

ผิวหนังของคนเราจะมีส่วนประกอบของน้ำอยู่เกือบ 90% ที่เหลือจะเป็นส่วนของไขมัน และมอยส์เจอไรซิ่งแฟ็กเตอร์ Moisturizing Factor ซึ่งเป็นตัวอมน้ำไม่ให้ระเหยออกไปจากผิว ดังนั้นจึงควรมีการเติมอาหารให้ผิวด้วยโลชั่นหรือครีมที่มีส่วนผสม Moisturizer เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณเสมอ และควรให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนทดแทนในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยให้ผิวหนังมี ความยืดหยุ่นได้ดี

ใส่ใจอาหาร

พยายามบังคับตนเองรับประทานอาหารให้ครบหมู่ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซี และอี ซึ่งมีสาร Antioxidants แอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีคุณสมบัติชะลอการเสื่อมของผิวหนังดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว และงดเว้นการสูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวบ่อนทำลายเซลล์ผิวหนังให้เสื่อมเร็วกว่าวัยอันควร

พักผ่อน - ออกกำลังกาย

การพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ขณะที่การออกกำลัยกายก็มีความสำคัญในด้านที่จะช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดี ขึ้นทำให้ผิวหนังได้รับสารอาหารและออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ส่วนการทำจิตใจสดใสคลายเครียดนั้นก็เหมือนกับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปในตัว

จริงๆ แล้วด้วยหลักการข้างต้นนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการช่วยชะลอความแก่ให้กับผิวพรรณของคุณ เพียงแต่วิธีการเช่นนี้จะเห็นผลช้าไปเสียหน่อย โดยเฉพาะคนที่มีผิวหยาบกร้านมากเป็นพิเศษอาจจะต้องใช้เวลายาวนานเป็นปีก็ได้

ผิวหน้าสดใส ด้วยวิตามินซี

วิตามินซีเป็นวิตามินที่ร่างกายได้รับด้วยวิธีรับประทานหรือทาวิตามินซีมีคุณสมบัติละลายน้ำ และเสื่อมสลายได้ง่าย เนื่องจากวิตามินซีไม่สะสมในชั้นไขมัน เมื่อรับประทานเข้าไปก็จะถูกขับออกมาได้ง่ายทางปัสสาวะ

ดังนั้นปริมาณวิตามินซีที่ได้จากการรับประทานเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถเพิ่มวิตามินซีในผิวได้

ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ผิวโดยตรง ควรใช้วิธีการทา แต่จําเป็นต้องเลือกวิตามินซีชนิด ที่สามารถออกฤทธิ์ได้ดี และอยู่ในรูปแบบที่สามารถคงประสิทธิภาพได้ด้วย

วิตามินซีมีหลายชนิด ชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดคือ แอล-แอสคอร์บิค แอซิด (L-ascorbic acid) ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้ ผิวหน้าเปล่งประกาย กระจ่างสดใสได้ดีที่สุด

จากการทดสอบพบว่า วิตามินซีในระดับที่จะทําให้ผิวหน้ากระจ่างใสได้นั้นอยู่ที่ความเข้มข้น 3 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปค่ะ

ที่มาของการเกิดสิว

ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดสิวหรือที่มาของการเกิดสิว สรุปได้ดังนี้

ปัจจัยภายใน

- ฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน ผู้ที่เป็นสิวมากกว่า 90% มีสาเหตุมาจากฮอร์โมน

- ความเครียด

- โรคภัยไข้เจ็บบางประเภท

- พักผ่อนไม่เพียงพอ มีผลทำให้ต่อมไขมันทำงานหนักมากขึ้น

ปัจจัยภายนอก

- เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วไปในทุกตารางนิ้ว โดยเฉพาะสิวอักเสบส่วนใหญ่มาจากเชื้อแบคทีเรียทั้งสิ้น

- สารเคมี อาจทำให้เกิดสิวได้ในบางกรณี เมื่อสัมผัสกับสารเคมีนั้นๆ

- สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลพิษจากสิ่งแวดล้อม ทั้งสภาวะอากาศ น้ำ เป็นต้น


ปัญหาเรื่องสิว จะเป็นๆหายๆ หรือเป็นสิวอย่างต่อเนื่อง(ตามสภาวะฮอร์โมนของแต่ละคน)

สิวจะหมดไปเมื่ออายุยิ่งเข้าหลักสี่ไปแล้ว และจะหมดสิ้นเมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป

เลือกลิปสติกให้เหมาะกับตัวเอง

ใครที่ต้องทาลิปสติกเป็นประจำ และไม่รู้ว่าจะเลือกยังไงให้เหมาะกับตัวเอง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาบอก...

- ลิปกลอส ช่วย ให้ริมฝีปากมันวาว ดูอวบอิ่มขึ้น ลิปกลอสบางชนิดมีสีอ่อนบางดูใส ๆ แต่บางชนิดก็มีสีเข้มให้ริมฝีปากดูวาว ๆ ข้อเสียของลิปกลอส คือ ทาแป๊บเดียวก็หายวาวแล้ว จึงจำเป็นต้องพกไว้เติมบ่อย ๆ

- ลิปสติกเนื้อซาตินหรือเนื้อเชียร์ เนื้อ แบบนี้ทาออกมาปากจะดูดี เพราะมีมอยซ์เจอไรเซอร์และน้ำมันอยู่มาก เวลาเลือกสีให้สังเกตว่าสีที่อยู่ในแท่งจะดูเข้มกว่าสีที่ทาอยู่บนปาก

- ลิปเพนซิลหรือลิปไลเนอร์ ไว้ใช้เขียนขอบปากเพื่อปรับรูปทรงปาก หรือใช้ทาทั้งปากเลยก็ได้ ใช้ร่วมกับลิปสติกเนื้อไหนก็ได้

- ลิปสติกเนื้อครีม ส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของขี้ผึ้ง จึงไม่ทำให้ปากแห้ง สีติดทนนาน

- ลิปสติกเนื้อแมทท์หรือเนื้อด้าน จะมีสีสันสวย แต่เนื้อจะแห้งด้าน ไม่เหมาะกับคนปากแห้ง

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาลิปสติกที่เหมาะกับริมฝีปากของตัวเองมาใช้กันดูได้

วิธีรักษาข้อศอกไม่ให้ด้าน

วิธีหลีกเลี่ยง คือ อย่าให้ศอกไปเสียดสี กระแทกกับสิ่งต่าง ๆ ไม่เท้าศอกบนโต๊ะ เพราะจะทำให้ศอกด้านได้ง่าย ๆ แต่ถ้าหากว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็มีวิธีแก้ คือ นำโลชั่นถนอมผิวมาทาบริเวณข้อศอกให้หนาพอประมาณ

จากนั้นนำพลาสติกมาหุ้มข้อศอกเอาไว้เพื่อสร้างไอและความเปียกชื้นให้กับข้อ ศอก ทิ้งไว้สัก 15-30 นาทีแล้วเอาพลาสติกออก ศอกก็จะซึมซับเอาครีมบำรุงเข้าไปได้มากกว่าปกติ ทำเป็นประจำข้อศอกก็จะนุ่มขึ้น

ง่ายนิดเดียวใช่มั้ยค่ะ :-)

วิธีคลายปวดประจําเดือน

สาวๆหลายคนมีอาการปวดประจําเดือนเป็นประจําทุกเดือน สาเหตุหลักๆของอาการนี้ คือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างมีประจําเดือน ใครที่กําลังมีอาการอยู่ เรามีท่าทีสามารถบรรเทาอาการปวดท้องประจําเดือนได้ชะงัดมาให้ลองทํากันดูค่ะ

ท่าที่ 1 นั่งหลังตรงบนเก้าอี้ ปล่อยขาทํามุม 90 องศากับพื้น ตาม สบาย จากนั้นพยายามกางขาออกให้กว้างมากที่สุด เท่าที่จะทําได้
ค้างไว้ นับ1-10 แล้วกลับสู่ท่าเรื่มต้น ทําซํ้าซัก5ครั่ง

ท่าที่ 2 หมุนบั้นเอวจากซ้ายไปขวา แล้วสลับหมุนจากขวาไปซ้าย ข้างละสิบครั้ง เช้า-เย็น

ท่าที่ 3 ท่านี้คือ''ท่าแมว''ในการฝึกโยคะนั่นเอง ทําง่ายๆดังนี้
1. คุกเข่า โก้งโค้ง เอามือยันพื้น แขนเหยียดตรง ขาแยก ห่างกัน พอสมควร ตามองตรง
2. หายใจเข้า โก่งหลังขึ้นเหมือนแมวที่กําลังขู่ศัตรู คางชิดอก หาย ใจออก ค้างท่านับ 1-10 หายใจตามปกติ
3. ค่อยๆลดหลังลง เคลื่อนหน้าขึ้นมาตรง หายใจออก ค้างท่านับ1-10
4. จากนั้นหายใจเข้าพร้อมกับแอ่นหลังลงไป เงยหน้าขึ้น หายใจออก ค้างท่านับ 1-10 หายใจตามปกติ จบด้วยการหายใจเข้า เคลื่อนหลัง ขึ้นมาตรง หน้าตรง หายใจออก (ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้มีอาการเจ็บหลังอยู่) และเพื่อป้องกันไม่ให้อาการหวนกลับมาอีกในเดือนหน้า ก็ต้องใส่ใจในเรื่อง อารมณ์เป็นพิเศษ เพราะเป็นตัวแปรสําคัญซึ่งมีส่วนเสริมความรุนแรงของอาการปวดประจําเดือน โดยพบว่าคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่ายหรือมี ความเครียด จะมีอาการปวดรุนแรงกว่าคนที่มีอารมณ์ดี นอกจากนี้การออกกําลังกายเป็นประจํายังเป็นยาดีที่จะช่วยเราได้ในระยะยาว และเพราะช่วยให้ร่างกายได้หลั่งสารอินเดอร์ฟินให้ได้รู้สึกกระปี้กระเป่าและ ยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคได้ด้วย

วิธีดูแลผิวเมื่อโดนแดดนานๆ

- กรณีที่อาบแดดนาน ๆ อยู่ท่ามกลางความร้อนมากเกินไปหรือแพ้สภาพอากาศ อาจทำให้ใบหน้าและบริเวณหน้าอกขึ้นเป็นผื่นแดงได้ วิธีที่ดีที่สุด คือใช้ครีมบำรุงผิวสูตรบรรเทาผื่นแดงสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพื่อลดขนาดของรอยผื่น และต้องหลบแดดทันทีควบคู่กับการงดทำซาวน่า และอยู่ให้พ้นจากชายหาด ที่มีลมแรงสักระยะ

- ปัญหาผิวแผ่นหลังลอกจะเกิดหลังจากผ่านการอาบแดดมา ซึ่งสามารถ แก้ไขได้โดยให้ผิวสัมผัสนุ่มเนียนขึ้นได้ โดยใช้ออยล์ลูบไล้ให้ทั่ว แต่จะดียิ่งขึ้นหากใช้เกลือขัดผิวหรือบอดี้สครับสูตรอ่อนโยนขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพให้หลุดออก

- ผิวขาหยาบกร้านแห้ง แตก เป็นขุย เป็นผลมาจากร่างกายขาดน้ำจึงต้องดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ และขัดผิวอย่างถูกวิธีควบคู่ไปด้วย ผิวกายควรใช้แปรงขัดผิว ใยบวบ หรือถุงมือขัดผิวโดยเฉพาะ ขัดถูให้ทั่ว พร้อมกับใช้ครีมขัดผิวคู่ไปด้วย หลังจากนั้นอย่าลืมบำรุงผิวที่หยาบกร้านด้วยโลชั่นถนอมผิว

- ไหล่ เป็นจุดที่ถูกแดดเผาได้ง่าย หากคุณเปลือยไหล่อาบแดด จึงควรประคบผิวส่วนนี้ให้เย็นขึ้นด้วยการใช้โลชั่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมันสำหรับชโลมผิวหลังอาบแดดโดยเฉพาะ หรือชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนเป็นอันดับแรก

- ริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดจากเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน ยิ่งอายุมากขึ้นริ้วรอยยับย่นแห่งวัยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายและเร็ว ควรดูแลผิวเสียแต่เนิ่น ๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทม้อยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน และอีลาสติน แต่นับจากนี้ก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ได้รับผลเสียจากแสงแดดน้อยที่สุด เพราะริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการลดเลือนริ้วรอย

ใครที่โดนแสงแดดทำลายผิว ลองนำวิธีที่แนะนำไปบำรุงผิวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมกันได้ค่ะ

ผู้หญิงกับผมร่วง

ไม่เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ประสบปัญหาผมร่วง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งของผู้ชายทีเดียว ผู้หญิงเองก็เกิดผมร่วงได้ไม่น้อยไปกว่าผู้ชายนะคะ โดย 2 ใน 3 ของผู้หญิงก็เคยประสบปัญหาผมร่วงมาแล้ว และในจำนวนนี้เป็นผมร่วงถาวรเสียด้วย แต่สาเหตุผมร่วงของผู้หญิงบางอย่าง สามารถแก้ไขได้ค่ะ

เมื่อเส้นผมแก่ตัวขึ้น ก็จะหยุดงอก แต่ก็จะยังคงอยู่บนศีรษะ เพียงแต่จะไม่งอกอีกเท่านั้น และสุดท้ายก็จะร่วงไป แล้วเส้นผมใหม่ก็จะค่อยๆก่อตัวขึ้นภายใน 6 เดือน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถหยุดยั้งกระบวนการทั้งหมดของเส้นผมนี้

- อายุและฮอร์โมน ส่วนใหญ่ผมจะร่วงเมื่ออายุมากขึ้น โดยอายุ,ฮอร์โมน และพันธุกรรม จะเป็นสาเหตุให้ผมร่วงได้มากกว่าปัจจัยอื่นๆ และผู้ชายจะพบปัญหานี้มากกว่าผู้หญิงมากซึ่งการผมร่วงนี้จะเริ่มเกิดขึ้น เมื่ออายุ 25-30 ปีสำหรับผู้หญิงจะผมร่วงโดยเริ่มจากการที่ผมเส้นเล็กลง และสั้นเมื่อลูบผมก็จะมีผมเส้นบางและสั้นติดมือมาสาเหตุผมร่วงชนิดนี้เป็น สาเหตุชนิดเดียวที่มักจะทำให้เกิดผมร่วงถาวร หรือหัวล้านนั่นเอง

- ยา ยาบางชนิดโดยเฉพาะที่ใช้รักษามะเร็งทำให้ผมร่วงได้ นอกจากยารักษามะเร็งแล้วยารักษาความดันโลหิต, ยาต้านการซึมเศร้า,ยาคุม และวิตามินเอขนาดสูง ก็ทำให้ผมร่วงได้ แต่เป็นการร่วงชั่วคราวเท่านั้น

- เมื่อลูบผมก็จะมีผมเส้นบางและสั้นติดมือมา สาเหตุผมร่วงชนิดนี้เป็นสาเหตุชนิดเดียวที่มักจะทำให้เกิดผมร่วงถาวร หรือหัวล้านนั่นเองค่ะ

- อาหาร อาหารโปรตีนน้อย รวมทั้งธาตุเหล็กน้อย จะทำให้ผมร่วงได้

- ความเครียด หรือการเจ็บป่วย จะทำให้ผมร่วงได้ 1-3 เดือนเลยทีเดียว

- การคลอดลูก ผู้หญิงหลังคลอดจะมีผมร่วงได้ภายใน 2-3 เดือนหลังคลอด

- เป็นโรคไทรอยด์ ก็ทำให้ผมร่วงได้เชื้อราของหนังศีรษะ ซึ่งต้องรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง สำหรับการรักษานั้นก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดผมร่วงยกเว้นสาเหตุเดียว ที่มักจะเป็นผมร่วงถาวร คือสาเหตุจากอายุและพันธุกรรม ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่อาจจะเลือกการใส่ วิกผม, รับประทานยากระตุ้น, และผ่าตัดปลูกถ่ายผม