คุณเคยรู้สึกเมื่อล้าดวงตา เนื่องจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ หรือไม่ เชื่อว่าสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ต้องเคยสัมผัสกับอาการเหล่านั้นแน่นอน ซึ่งวันนี้เราก็มีเคล็บลับสำหรับผู้ที่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์มาฝาก เพื่อรักษาดวงตาคู่สวยของคุณให้ใสอยู่ตลอด
1. หมั่นกระพริบตาให้บ่อยขึ้น
อาการตาแห้งเกิดจากเมื่อเรามีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20-22ครั้ง ต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้ง ต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ก็ต้องกระพริบตาบ่อยขึ้น
2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
ปรับความสูงของจอให้เหมาะสม โดยระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเรา ควรอยู่ระหว่าง 20-28 นิ้ว หรือประมาณ 1 ช่วงแขน จุดศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์ควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ไม่ควรอยู่สูงหรือต่ำกว่านี้มากนัก และควรจะตั้งตรงหน้า ตำแหน่งการวางคอมพิวเตอร์ควรจะให้หน้าต่างอยู่ด้านข้างของโต๊ะ เพื่อป้องกันไม่ให้แสงตกสะท้อนหน้าจอ
3. ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น
4. เลือกแว่นที่ใช้กับคอมพิวเตอร์
ควรใช้เลนส์สีชมพูอ่อน จะช่วยให้สบายตาขึ้นภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ สำหรับคนที่ใส่แว่นควรปรึกษาจักษุแพทย์
5. หยุดพัก ทุกๆชั่วโมง
ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายสัก 10 นาที เพื่อพักสายตา และป้องกันไม่ให้เกิดความเมื่อยล้า
6. เปลี่ยนจอใหม่
เลือกใช้จอชนิด LCD (จอแบน) แม้ราคาจะแพงกว่าจอธรรมดา (CRT) แต่ช่วยถนอมตาได้มาก
รักษาดวงตาเมื่อต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
เขียนโดย
โสภิดา
on วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)
รอยคล้ำตาใต้ ปัญหาหนักใจสาวๆยุคใหม่
เขียนโดย
โสภิดา
on วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)
ปัญหารอบดวงตามีรอยคล้ำ เกิดจากการมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น การพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึงกรรมพันธ์ุ ฯลฯ ฉะนั้นหากรอบดวงตามีรอยคล้ำ สาวๆ ไม่ควรนิ่งนอนใจควรจะหาทางลดปัญหาเหล่านั้น เพราะเมื่อรอบดวง ตามีรอยคล้ำ ก็จะทําให้เวลาแต่งหน้าหรือแต่งเติมสีสันบนเปลือกตาทําได้ยาก เมื่อทาอายแชโดว์แล้วจะไม่ได้สีตามที่ใจปรารถนาเสมือนการระบายสีบนกระดาษสี หม่นย่อมไม่ได้สีสวย นอกจากนั้นรอยคล้ำยังทําให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าหมองคล้ำไม่สดใส และดูแก่กว่าวัยอีกด้วย
แม้ปัญหาความหมองคล้ำเหล่านี้ จะสามารถกลบเกลื่อนได้ด้วยการแต่งหน้าอย่างมืออาชีพ แต่เพื่อความกระจ่างใสอย่างยั่งยืนแล้ว การแก้ไขจากต้นเหตุน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง อาทิ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียดและการใช้งานของกล้ามเนื้อดวงตาให้น้อยลง ประกอบกับการใช้ผลิตภัณฑ์บํารุงที่ทรงประสิทธิภาพด้วยส่วนผสมของวิตามินซี ที่ช่วยลดเลือนรอยหมองคล้ำและปรับสีผิวรอบดวงตา ควบคู่กับการนวดลดเลือนรอยคล้ำใต้ตา ก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้รอยหมองคล้ำรอบดวงตาหายไป และผิวหน้าก็จะดูเปล่งปลั่งขึ้นด้วยเช่นกัน
ข้อแนะนําเพื่อดวง ตากระจ่างใส
- หลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมือขยี้ตา เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ตลอดจนอาจเกิดการอักเสบอันเนื่องมาจากเชื้อโรคที่ติดอยู่บนมือทั้งสองข้าง ถ้ารู้สึกคันหรือระคายเคืองตา ให้ใช้น้ำยาล้างตาหรือใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดซับเบาๆ พอให้หายคัน
- เมื่อดวงตาเกิดความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ลองหาแตงกวาฝาน หรือถุงชาที่ใช้แล้วแบบแช่เย็น วางไว้บนเปลือกตาสองข้าง นอนพักสักครู่ จะช่วยให้อาการอ่อนล้าดีขึ้น
- การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้ว หรือ 2 ลิตร จะช่วยป้องกันรอยคล้ำใต้ตาได้
แม้ปัญหาความหมองคล้ำเหล่านี้ จะสามารถกลบเกลื่อนได้ด้วยการแต่งหน้าอย่างมืออาชีพ แต่เพื่อความกระจ่างใสอย่างยั่งยืนแล้ว การแก้ไขจากต้นเหตุน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง อาทิ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียดและการใช้งานของกล้ามเนื้อดวงตาให้น้อยลง ประกอบกับการใช้ผลิตภัณฑ์บํารุงที่ทรงประสิทธิภาพด้วยส่วนผสมของวิตามินซี ที่ช่วยลดเลือนรอยหมองคล้ำและปรับสีผิวรอบดวงตา ควบคู่กับการนวดลดเลือนรอยคล้ำใต้ตา ก็จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้รอยหมองคล้ำรอบดวงตาหายไป และผิวหน้าก็จะดูเปล่งปลั่งขึ้นด้วยเช่นกัน
ข้อแนะนําเพื่อดวง ตากระจ่างใส
- หลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมือขยี้ตา เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา ตลอดจนอาจเกิดการอักเสบอันเนื่องมาจากเชื้อโรคที่ติดอยู่บนมือทั้งสองข้าง ถ้ารู้สึกคันหรือระคายเคืองตา ให้ใช้น้ำยาล้างตาหรือใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดซับเบาๆ พอให้หายคัน
- เมื่อดวงตาเกิดความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ลองหาแตงกวาฝาน หรือถุงชาที่ใช้แล้วแบบแช่เย็น วางไว้บนเปลือกตาสองข้าง นอนพักสักครู่ จะช่วยให้อาการอ่อนล้าดีขึ้น
- การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้ว หรือ 2 ลิตร จะช่วยป้องกันรอยคล้ำใต้ตาได้
เคล็ดลับสำคัญในการชะลอความแก่และริ้วรอย
เขียนโดย
โสภิดา
on วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)
หลีกเลี่ยงแสงแดด
พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. เพราะเป็นช่วงที่มีรังสีอัลตราไวโอเลต UV สูงสุด และหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็ควรจะหาเกราะป้องกันให้กับผิวพรรณด้วยการทายากัน แดดที่มีค่า SPF Sun Protecting Factor อย่างน้อย 15 ขึ้นไป โดยทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที ที่สำคัญคือควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่มีน้ำหอมเจือปน เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นเสมอ
หลีกเลี่ยงการทับ
ท่านอนนับเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการนอนท่าเดิมตลอดเวลาจะทำให้เกิดรอยย่นในด้านที่ถูกทับได้ ฉะนั้นจึงควรเปลี่ยนท่านนอนบ่อยๆ และใช้หมอนทางเตี้ย เพื่อป้องกันผิวหนังย่นจากรอยทับ พยายามหลีกเลี่ยงการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ เพราะจะให้รอยย่นเด่นชัดขึ้น และเมื่อต้องอยู่กลางแดดจ้า ก็ควรที่จะสวมแว่นกันแดด หมวกหรือกางร่ม เพื่อลดอาการหยีตาซึ่งจะเพิ่มรอยตีนกาบริเวณหางตาให้มากขึ้น
ดูแลผิวให้ชุ่มชื้น
ผิวหนังของคนเราจะมีส่วนประกอบของน้ำอยู่เกือบ 90% ที่เหลือจะเป็นส่วนของไขมัน และมอยส์เจอไรซิ่งแฟ็กเตอร์ Moisturizing Factor ซึ่งเป็นตัวอมน้ำไม่ให้ระเหยออกไปจากผิว ดังนั้นจึงควรมีการเติมอาหารให้ผิวด้วยโลชั่นหรือครีมที่มีส่วนผสม Moisturizer เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณเสมอ และควรให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนทดแทนในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยให้ผิวหนังมี ความยืดหยุ่นได้ดี
ใส่ใจอาหาร
พยายามบังคับตนเองรับประทานอาหารให้ครบหมู่ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซี และอี ซึ่งมีสาร Antioxidants แอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีคุณสมบัติชะลอการเสื่อมของผิวหนังดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว และงดเว้นการสูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวบ่อนทำลายเซลล์ผิวหนังให้เสื่อมเร็วกว่าวัยอันควร
พักผ่อน - ออกกำลังกาย
การพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ขณะที่การออกกำลัยกายก็มีความสำคัญในด้านที่จะช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดี ขึ้นทำให้ผิวหนังได้รับสารอาหารและออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ส่วนการทำจิตใจสดใสคลายเครียดนั้นก็เหมือนกับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปในตัว
จริงๆ แล้วด้วยหลักการข้างต้นนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการช่วยชะลอความแก่ให้กับผิวพรรณของคุณ เพียงแต่วิธีการเช่นนี้จะเห็นผลช้าไปเสียหน่อย โดยเฉพาะคนที่มีผิวหยาบกร้านมากเป็นพิเศษอาจจะต้องใช้เวลายาวนานเป็นปีก็ได้
พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. เพราะเป็นช่วงที่มีรังสีอัลตราไวโอเลต UV สูงสุด และหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็ควรจะหาเกราะป้องกันให้กับผิวพรรณด้วยการทายากัน แดดที่มีค่า SPF Sun Protecting Factor อย่างน้อย 15 ขึ้นไป โดยทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที ที่สำคัญคือควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่มีน้ำหอมเจือปน เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นเสมอ
หลีกเลี่ยงการทับ
ท่านอนนับเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการนอนท่าเดิมตลอดเวลาจะทำให้เกิดรอยย่นในด้านที่ถูกทับได้ ฉะนั้นจึงควรเปลี่ยนท่านนอนบ่อยๆ และใช้หมอนทางเตี้ย เพื่อป้องกันผิวหนังย่นจากรอยทับ พยายามหลีกเลี่ยงการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ เพราะจะให้รอยย่นเด่นชัดขึ้น และเมื่อต้องอยู่กลางแดดจ้า ก็ควรที่จะสวมแว่นกันแดด หมวกหรือกางร่ม เพื่อลดอาการหยีตาซึ่งจะเพิ่มรอยตีนกาบริเวณหางตาให้มากขึ้น
ดูแลผิวให้ชุ่มชื้น
ผิวหนังของคนเราจะมีส่วนประกอบของน้ำอยู่เกือบ 90% ที่เหลือจะเป็นส่วนของไขมัน และมอยส์เจอไรซิ่งแฟ็กเตอร์ Moisturizing Factor ซึ่งเป็นตัวอมน้ำไม่ให้ระเหยออกไปจากผิว ดังนั้นจึงควรมีการเติมอาหารให้ผิวด้วยโลชั่นหรือครีมที่มีส่วนผสม Moisturizer เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณเสมอ และควรให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนทดแทนในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยให้ผิวหนังมี ความยืดหยุ่นได้ดี
ใส่ใจอาหาร
พยายามบังคับตนเองรับประทานอาหารให้ครบหมู่ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซี และอี ซึ่งมีสาร Antioxidants แอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีคุณสมบัติชะลอการเสื่อมของผิวหนังดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว และงดเว้นการสูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวบ่อนทำลายเซลล์ผิวหนังให้เสื่อมเร็วกว่าวัยอันควร
พักผ่อน - ออกกำลังกาย
การพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ขณะที่การออกกำลัยกายก็มีความสำคัญในด้านที่จะช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดี ขึ้นทำให้ผิวหนังได้รับสารอาหารและออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ส่วนการทำจิตใจสดใสคลายเครียดนั้นก็เหมือนกับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปในตัว
จริงๆ แล้วด้วยหลักการข้างต้นนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการช่วยชะลอความแก่ให้กับผิวพรรณของคุณ เพียงแต่วิธีการเช่นนี้จะเห็นผลช้าไปเสียหน่อย โดยเฉพาะคนที่มีผิวหยาบกร้านมากเป็นพิเศษอาจจะต้องใช้เวลายาวนานเป็นปีก็ได้
ผิวหน้าสดใส ด้วยวิตามินซี
เขียนโดย
โสภิดา
on วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)
วิตามินซีเป็นวิตามินที่ร่างกายได้รับด้วยวิธีรับประทานหรือทาวิตามินซีมีคุณสมบัติละลายน้ำ และเสื่อมสลายได้ง่าย เนื่องจากวิตามินซีไม่สะสมในชั้นไขมัน เมื่อรับประทานเข้าไปก็จะถูกขับออกมาได้ง่ายทางปัสสาวะ
ดังนั้นปริมาณวิตามินซีที่ได้จากการรับประทานเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถเพิ่มวิตามินซีในผิวได้
ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ผิวโดยตรง ควรใช้วิธีการทา แต่จําเป็นต้องเลือกวิตามินซีชนิด ที่สามารถออกฤทธิ์ได้ดี และอยู่ในรูปแบบที่สามารถคงประสิทธิภาพได้ด้วย
วิตามินซีมีหลายชนิด ชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดคือ แอล-แอสคอร์บิค แอซิด (L-ascorbic acid) ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้ ผิวหน้าเปล่งประกาย กระจ่างสดใสได้ดีที่สุด
จากการทดสอบพบว่า วิตามินซีในระดับที่จะทําให้ผิวหน้ากระจ่างใสได้นั้นอยู่ที่ความเข้มข้น 3 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปค่ะ
ดังนั้นปริมาณวิตามินซีที่ได้จากการรับประทานเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถเพิ่มวิตามินซีในผิวได้
ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ผิวโดยตรง ควรใช้วิธีการทา แต่จําเป็นต้องเลือกวิตามินซีชนิด ที่สามารถออกฤทธิ์ได้ดี และอยู่ในรูปแบบที่สามารถคงประสิทธิภาพได้ด้วย
วิตามินซีมีหลายชนิด ชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดคือ แอล-แอสคอร์บิค แอซิด (L-ascorbic acid) ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้ ผิวหน้าเปล่งประกาย กระจ่างสดใสได้ดีที่สุด
จากการทดสอบพบว่า วิตามินซีในระดับที่จะทําให้ผิวหน้ากระจ่างใสได้นั้นอยู่ที่ความเข้มข้น 3 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปค่ะ
ที่มาของการเกิดสิว
เขียนโดย
โสภิดา
on วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)
ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดสิวหรือที่มาของการเกิดสิว สรุปได้ดังนี้
ปัจจัยภายใน
- ฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน ผู้ที่เป็นสิวมากกว่า 90% มีสาเหตุมาจากฮอร์โมน
- ความเครียด
- โรคภัยไข้เจ็บบางประเภท
- พักผ่อนไม่เพียงพอ มีผลทำให้ต่อมไขมันทำงานหนักมากขึ้น
ปัจจัยภายนอก
- เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วไปในทุกตารางนิ้ว โดยเฉพาะสิวอักเสบส่วนใหญ่มาจากเชื้อแบคทีเรียทั้งสิ้น
- สารเคมี อาจทำให้เกิดสิวได้ในบางกรณี เมื่อสัมผัสกับสารเคมีนั้นๆ
- สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลพิษจากสิ่งแวดล้อม ทั้งสภาวะอากาศ น้ำ เป็นต้น
ปัญหาเรื่องสิว จะเป็นๆหายๆ หรือเป็นสิวอย่างต่อเนื่อง(ตามสภาวะฮอร์โมนของแต่ละคน)
สิวจะหมดไปเมื่ออายุยิ่งเข้าหลักสี่ไปแล้ว และจะหมดสิ้นเมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป
ปัจจัยภายใน
- ฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน ผู้ที่เป็นสิวมากกว่า 90% มีสาเหตุมาจากฮอร์โมน
- ความเครียด
- โรคภัยไข้เจ็บบางประเภท
- พักผ่อนไม่เพียงพอ มีผลทำให้ต่อมไขมันทำงานหนักมากขึ้น
ปัจจัยภายนอก
- เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วไปในทุกตารางนิ้ว โดยเฉพาะสิวอักเสบส่วนใหญ่มาจากเชื้อแบคทีเรียทั้งสิ้น
- สารเคมี อาจทำให้เกิดสิวได้ในบางกรณี เมื่อสัมผัสกับสารเคมีนั้นๆ
- สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลพิษจากสิ่งแวดล้อม ทั้งสภาวะอากาศ น้ำ เป็นต้น
ปัญหาเรื่องสิว จะเป็นๆหายๆ หรือเป็นสิวอย่างต่อเนื่อง(ตามสภาวะฮอร์โมนของแต่ละคน)
สิวจะหมดไปเมื่ออายุยิ่งเข้าหลักสี่ไปแล้ว และจะหมดสิ้นเมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป
เลือกลิปสติกให้เหมาะกับตัวเอง
เขียนโดย
โสภิดา
on วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)
ใครที่ต้องทาลิปสติกเป็นประจำ และไม่รู้ว่าจะเลือกยังไงให้เหมาะกับตัวเอง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาบอก...
- ลิปกลอส ช่วย ให้ริมฝีปากมันวาว ดูอวบอิ่มขึ้น ลิปกลอสบางชนิดมีสีอ่อนบางดูใส ๆ แต่บางชนิดก็มีสีเข้มให้ริมฝีปากดูวาว ๆ ข้อเสียของลิปกลอส คือ ทาแป๊บเดียวก็หายวาวแล้ว จึงจำเป็นต้องพกไว้เติมบ่อย ๆ
- ลิปสติกเนื้อซาตินหรือเนื้อเชียร์ เนื้อ แบบนี้ทาออกมาปากจะดูดี เพราะมีมอยซ์เจอไรเซอร์และน้ำมันอยู่มาก เวลาเลือกสีให้สังเกตว่าสีที่อยู่ในแท่งจะดูเข้มกว่าสีที่ทาอยู่บนปาก
- ลิปเพนซิลหรือลิปไลเนอร์ ไว้ใช้เขียนขอบปากเพื่อปรับรูปทรงปาก หรือใช้ทาทั้งปากเลยก็ได้ ใช้ร่วมกับลิปสติกเนื้อไหนก็ได้
- ลิปสติกเนื้อครีม ส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของขี้ผึ้ง จึงไม่ทำให้ปากแห้ง สีติดทนนาน
- ลิปสติกเนื้อแมทท์หรือเนื้อด้าน จะมีสีสันสวย แต่เนื้อจะแห้งด้าน ไม่เหมาะกับคนปากแห้ง
รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาลิปสติกที่เหมาะกับริมฝีปากของตัวเองมาใช้กันดูได้
- ลิปกลอส ช่วย ให้ริมฝีปากมันวาว ดูอวบอิ่มขึ้น ลิปกลอสบางชนิดมีสีอ่อนบางดูใส ๆ แต่บางชนิดก็มีสีเข้มให้ริมฝีปากดูวาว ๆ ข้อเสียของลิปกลอส คือ ทาแป๊บเดียวก็หายวาวแล้ว จึงจำเป็นต้องพกไว้เติมบ่อย ๆ
- ลิปสติกเนื้อซาตินหรือเนื้อเชียร์ เนื้อ แบบนี้ทาออกมาปากจะดูดี เพราะมีมอยซ์เจอไรเซอร์และน้ำมันอยู่มาก เวลาเลือกสีให้สังเกตว่าสีที่อยู่ในแท่งจะดูเข้มกว่าสีที่ทาอยู่บนปาก
- ลิปเพนซิลหรือลิปไลเนอร์ ไว้ใช้เขียนขอบปากเพื่อปรับรูปทรงปาก หรือใช้ทาทั้งปากเลยก็ได้ ใช้ร่วมกับลิปสติกเนื้อไหนก็ได้
- ลิปสติกเนื้อครีม ส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบของขี้ผึ้ง จึงไม่ทำให้ปากแห้ง สีติดทนนาน
- ลิปสติกเนื้อแมทท์หรือเนื้อด้าน จะมีสีสันสวย แต่เนื้อจะแห้งด้าน ไม่เหมาะกับคนปากแห้ง
รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาลิปสติกที่เหมาะกับริมฝีปากของตัวเองมาใช้กันดูได้
วิธีรักษาข้อศอกไม่ให้ด้าน
เขียนโดย
โสภิดา
on วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)
วิธีหลีกเลี่ยง คือ อย่าให้ศอกไปเสียดสี กระแทกกับสิ่งต่าง ๆ ไม่เท้าศอกบนโต๊ะ เพราะจะทำให้ศอกด้านได้ง่าย ๆ แต่ถ้าหากว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็มีวิธีแก้ คือ นำโลชั่นถนอมผิวมาทาบริเวณข้อศอกให้หนาพอประมาณ
จากนั้นนำพลาสติกมาหุ้มข้อศอกเอาไว้เพื่อสร้างไอและความเปียกชื้นให้กับข้อ ศอก ทิ้งไว้สัก 15-30 นาทีแล้วเอาพลาสติกออก ศอกก็จะซึมซับเอาครีมบำรุงเข้าไปได้มากกว่าปกติ ทำเป็นประจำข้อศอกก็จะนุ่มขึ้น
ง่ายนิดเดียวใช่มั้ยค่ะ :-)
จากนั้นนำพลาสติกมาหุ้มข้อศอกเอาไว้เพื่อสร้างไอและความเปียกชื้นให้กับข้อ ศอก ทิ้งไว้สัก 15-30 นาทีแล้วเอาพลาสติกออก ศอกก็จะซึมซับเอาครีมบำรุงเข้าไปได้มากกว่าปกติ ทำเป็นประจำข้อศอกก็จะนุ่มขึ้น
ง่ายนิดเดียวใช่มั้ยค่ะ :-)
วิธีคลายปวดประจําเดือน
เขียนโดย
โสภิดา
on วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)
สาวๆหลายคนมีอาการปวดประจําเดือนเป็นประจําทุกเดือน สาเหตุหลักๆของอาการนี้ คือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างมีประจําเดือน ใครที่กําลังมีอาการอยู่ เรามีท่าทีสามารถบรรเทาอาการปวดท้องประจําเดือนได้ชะงัดมาให้ลองทํากันดูค่ะ
ท่าที่ 1 นั่งหลังตรงบนเก้าอี้ ปล่อยขาทํามุม 90 องศากับพื้น ตาม สบาย จากนั้นพยายามกางขาออกให้กว้างมากที่สุด เท่าที่จะทําได้
ค้างไว้ นับ1-10 แล้วกลับสู่ท่าเรื่มต้น ทําซํ้าซัก5ครั่ง
ท่าที่ 2 หมุนบั้นเอวจากซ้ายไปขวา แล้วสลับหมุนจากขวาไปซ้าย ข้างละสิบครั้ง เช้า-เย็น
ท่าที่ 3 ท่านี้คือ''ท่าแมว''ในการฝึกโยคะนั่นเอง ทําง่ายๆดังนี้
1. คุกเข่า โก้งโค้ง เอามือยันพื้น แขนเหยียดตรง ขาแยก ห่างกัน พอสมควร ตามองตรง
2. หายใจเข้า โก่งหลังขึ้นเหมือนแมวที่กําลังขู่ศัตรู คางชิดอก หาย ใจออก ค้างท่านับ 1-10 หายใจตามปกติ
3. ค่อยๆลดหลังลง เคลื่อนหน้าขึ้นมาตรง หายใจออก ค้างท่านับ1-10
4. จากนั้นหายใจเข้าพร้อมกับแอ่นหลังลงไป เงยหน้าขึ้น หายใจออก ค้างท่านับ 1-10 หายใจตามปกติ จบด้วยการหายใจเข้า เคลื่อนหลัง ขึ้นมาตรง หน้าตรง หายใจออก (ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้มีอาการเจ็บหลังอยู่) และเพื่อป้องกันไม่ให้อาการหวนกลับมาอีกในเดือนหน้า ก็ต้องใส่ใจในเรื่อง อารมณ์เป็นพิเศษ เพราะเป็นตัวแปรสําคัญซึ่งมีส่วนเสริมความรุนแรงของอาการปวดประจําเดือน โดยพบว่าคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่ายหรือมี ความเครียด จะมีอาการปวดรุนแรงกว่าคนที่มีอารมณ์ดี นอกจากนี้การออกกําลังกายเป็นประจํายังเป็นยาดีที่จะช่วยเราได้ในระยะยาว และเพราะช่วยให้ร่างกายได้หลั่งสารอินเดอร์ฟินให้ได้รู้สึกกระปี้กระเป่าและ ยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคได้ด้วย
ท่าที่ 1 นั่งหลังตรงบนเก้าอี้ ปล่อยขาทํามุม 90 องศากับพื้น ตาม สบาย จากนั้นพยายามกางขาออกให้กว้างมากที่สุด เท่าที่จะทําได้
ค้างไว้ นับ1-10 แล้วกลับสู่ท่าเรื่มต้น ทําซํ้าซัก5ครั่ง
ท่าที่ 2 หมุนบั้นเอวจากซ้ายไปขวา แล้วสลับหมุนจากขวาไปซ้าย ข้างละสิบครั้ง เช้า-เย็น
ท่าที่ 3 ท่านี้คือ''ท่าแมว''ในการฝึกโยคะนั่นเอง ทําง่ายๆดังนี้
1. คุกเข่า โก้งโค้ง เอามือยันพื้น แขนเหยียดตรง ขาแยก ห่างกัน พอสมควร ตามองตรง
2. หายใจเข้า โก่งหลังขึ้นเหมือนแมวที่กําลังขู่ศัตรู คางชิดอก หาย ใจออก ค้างท่านับ 1-10 หายใจตามปกติ
3. ค่อยๆลดหลังลง เคลื่อนหน้าขึ้นมาตรง หายใจออก ค้างท่านับ1-10
4. จากนั้นหายใจเข้าพร้อมกับแอ่นหลังลงไป เงยหน้าขึ้น หายใจออก ค้างท่านับ 1-10 หายใจตามปกติ จบด้วยการหายใจเข้า เคลื่อนหลัง ขึ้นมาตรง หน้าตรง หายใจออก (ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้มีอาการเจ็บหลังอยู่) และเพื่อป้องกันไม่ให้อาการหวนกลับมาอีกในเดือนหน้า ก็ต้องใส่ใจในเรื่อง อารมณ์เป็นพิเศษ เพราะเป็นตัวแปรสําคัญซึ่งมีส่วนเสริมความรุนแรงของอาการปวดประจําเดือน โดยพบว่าคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่ายหรือมี ความเครียด จะมีอาการปวดรุนแรงกว่าคนที่มีอารมณ์ดี นอกจากนี้การออกกําลังกายเป็นประจํายังเป็นยาดีที่จะช่วยเราได้ในระยะยาว และเพราะช่วยให้ร่างกายได้หลั่งสารอินเดอร์ฟินให้ได้รู้สึกกระปี้กระเป่าและ ยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคได้ด้วย
วิธีดูแลผิวเมื่อโดนแดดนานๆ
เขียนโดย
โสภิดา
on วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)
- กรณีที่อาบแดดนาน ๆ อยู่ท่ามกลางความร้อนมากเกินไปหรือแพ้สภาพอากาศ อาจทำให้ใบหน้าและบริเวณหน้าอกขึ้นเป็นผื่นแดงได้ วิธีที่ดีที่สุด คือใช้ครีมบำรุงผิวสูตรบรรเทาผื่นแดงสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เพื่อลดขนาดของรอยผื่น และต้องหลบแดดทันทีควบคู่กับการงดทำซาวน่า และอยู่ให้พ้นจากชายหาด ที่มีลมแรงสักระยะ
- ปัญหาผิวแผ่นหลังลอกจะเกิดหลังจากผ่านการอาบแดดมา ซึ่งสามารถ แก้ไขได้โดยให้ผิวสัมผัสนุ่มเนียนขึ้นได้ โดยใช้ออยล์ลูบไล้ให้ทั่ว แต่จะดียิ่งขึ้นหากใช้เกลือขัดผิวหรือบอดี้สครับสูตรอ่อนโยนขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพให้หลุดออก
- ผิวขาหยาบกร้านแห้ง แตก เป็นขุย เป็นผลมาจากร่างกายขาดน้ำจึงต้องดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ และขัดผิวอย่างถูกวิธีควบคู่ไปด้วย ผิวกายควรใช้แปรงขัดผิว ใยบวบ หรือถุงมือขัดผิวโดยเฉพาะ ขัดถูให้ทั่ว พร้อมกับใช้ครีมขัดผิวคู่ไปด้วย หลังจากนั้นอย่าลืมบำรุงผิวที่หยาบกร้านด้วยโลชั่นถนอมผิว
- ไหล่ เป็นจุดที่ถูกแดดเผาได้ง่าย หากคุณเปลือยไหล่อาบแดด จึงควรประคบผิวส่วนนี้ให้เย็นขึ้นด้วยการใช้โลชั่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมันสำหรับชโลมผิวหลังอาบแดดโดยเฉพาะ หรือชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนเป็นอันดับแรก
- ริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดจากเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน ยิ่งอายุมากขึ้นริ้วรอยยับย่นแห่งวัยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายและเร็ว ควรดูแลผิวเสียแต่เนิ่น ๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทม้อยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน และอีลาสติน แต่นับจากนี้ก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ได้รับผลเสียจากแสงแดดน้อยที่สุด เพราะริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการลดเลือนริ้วรอย
ใครที่โดนแสงแดดทำลายผิว ลองนำวิธีที่แนะนำไปบำรุงผิวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมกันได้ค่ะ
- ปัญหาผิวแผ่นหลังลอกจะเกิดหลังจากผ่านการอาบแดดมา ซึ่งสามารถ แก้ไขได้โดยให้ผิวสัมผัสนุ่มเนียนขึ้นได้ โดยใช้ออยล์ลูบไล้ให้ทั่ว แต่จะดียิ่งขึ้นหากใช้เกลือขัดผิวหรือบอดี้สครับสูตรอ่อนโยนขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพให้หลุดออก
- ผิวขาหยาบกร้านแห้ง แตก เป็นขุย เป็นผลมาจากร่างกายขาดน้ำจึงต้องดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ และขัดผิวอย่างถูกวิธีควบคู่ไปด้วย ผิวกายควรใช้แปรงขัดผิว ใยบวบ หรือถุงมือขัดผิวโดยเฉพาะ ขัดถูให้ทั่ว พร้อมกับใช้ครีมขัดผิวคู่ไปด้วย หลังจากนั้นอย่าลืมบำรุงผิวที่หยาบกร้านด้วยโลชั่นถนอมผิว
- ไหล่ เป็นจุดที่ถูกแดดเผาได้ง่าย หากคุณเปลือยไหล่อาบแดด จึงควรประคบผิวส่วนนี้ให้เย็นขึ้นด้วยการใช้โลชั่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมันสำหรับชโลมผิวหลังอาบแดดโดยเฉพาะ หรือชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนเป็นอันดับแรก
- ริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดจากเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน ยิ่งอายุมากขึ้นริ้วรอยยับย่นแห่งวัยก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายและเร็ว ควรดูแลผิวเสียแต่เนิ่น ๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประเภทม้อยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน และอีลาสติน แต่นับจากนี้ก็ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ได้รับผลเสียจากแสงแดดน้อยที่สุด เพราะริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการลดเลือนริ้วรอย
ใครที่โดนแสงแดดทำลายผิว ลองนำวิธีที่แนะนำไปบำรุงผิวให้กลับคืนสู่สภาพเดิมกันได้ค่ะ
ผู้หญิงกับผมร่วง
เขียนโดย
โสภิดา
on วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552
/
Comments: (0)
ไม่เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ประสบปัญหาผมร่วง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งของผู้ชายทีเดียว ผู้หญิงเองก็เกิดผมร่วงได้ไม่น้อยไปกว่าผู้ชายนะคะ โดย 2 ใน 3 ของผู้หญิงก็เคยประสบปัญหาผมร่วงมาแล้ว และในจำนวนนี้เป็นผมร่วงถาวรเสียด้วย แต่สาเหตุผมร่วงของผู้หญิงบางอย่าง สามารถแก้ไขได้ค่ะ
เมื่อเส้นผมแก่ตัวขึ้น ก็จะหยุดงอก แต่ก็จะยังคงอยู่บนศีรษะ เพียงแต่จะไม่งอกอีกเท่านั้น และสุดท้ายก็จะร่วงไป แล้วเส้นผมใหม่ก็จะค่อยๆก่อตัวขึ้นภายใน 6 เดือน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถหยุดยั้งกระบวนการทั้งหมดของเส้นผมนี้
- อายุและฮอร์โมน ส่วนใหญ่ผมจะร่วงเมื่ออายุมากขึ้น โดยอายุ,ฮอร์โมน และพันธุกรรม จะเป็นสาเหตุให้ผมร่วงได้มากกว่าปัจจัยอื่นๆ และผู้ชายจะพบปัญหานี้มากกว่าผู้หญิงมากซึ่งการผมร่วงนี้จะเริ่มเกิดขึ้น เมื่ออายุ 25-30 ปีสำหรับผู้หญิงจะผมร่วงโดยเริ่มจากการที่ผมเส้นเล็กลง และสั้นเมื่อลูบผมก็จะมีผมเส้นบางและสั้นติดมือมาสาเหตุผมร่วงชนิดนี้เป็น สาเหตุชนิดเดียวที่มักจะทำให้เกิดผมร่วงถาวร หรือหัวล้านนั่นเอง
- ยา ยาบางชนิดโดยเฉพาะที่ใช้รักษามะเร็งทำให้ผมร่วงได้ นอกจากยารักษามะเร็งแล้วยารักษาความดันโลหิต, ยาต้านการซึมเศร้า,ยาคุม และวิตามินเอขนาดสูง ก็ทำให้ผมร่วงได้ แต่เป็นการร่วงชั่วคราวเท่านั้น
- เมื่อลูบผมก็จะมีผมเส้นบางและสั้นติดมือมา สาเหตุผมร่วงชนิดนี้เป็นสาเหตุชนิดเดียวที่มักจะทำให้เกิดผมร่วงถาวร หรือหัวล้านนั่นเองค่ะ
- อาหาร อาหารโปรตีนน้อย รวมทั้งธาตุเหล็กน้อย จะทำให้ผมร่วงได้
- ความเครียด หรือการเจ็บป่วย จะทำให้ผมร่วงได้ 1-3 เดือนเลยทีเดียว
- การคลอดลูก ผู้หญิงหลังคลอดจะมีผมร่วงได้ภายใน 2-3 เดือนหลังคลอด
- เป็นโรคไทรอยด์ ก็ทำให้ผมร่วงได้เชื้อราของหนังศีรษะ ซึ่งต้องรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง สำหรับการรักษานั้นก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดผมร่วงยกเว้นสาเหตุเดียว ที่มักจะเป็นผมร่วงถาวร คือสาเหตุจากอายุและพันธุกรรม ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่อาจจะเลือกการใส่ วิกผม, รับประทานยากระตุ้น, และผ่าตัดปลูกถ่ายผม
เมื่อเส้นผมแก่ตัวขึ้น ก็จะหยุดงอก แต่ก็จะยังคงอยู่บนศีรษะ เพียงแต่จะไม่งอกอีกเท่านั้น และสุดท้ายก็จะร่วงไป แล้วเส้นผมใหม่ก็จะค่อยๆก่อตัวขึ้นภายใน 6 เดือน แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถหยุดยั้งกระบวนการทั้งหมดของเส้นผมนี้
- อายุและฮอร์โมน ส่วนใหญ่ผมจะร่วงเมื่ออายุมากขึ้น โดยอายุ,ฮอร์โมน และพันธุกรรม จะเป็นสาเหตุให้ผมร่วงได้มากกว่าปัจจัยอื่นๆ และผู้ชายจะพบปัญหานี้มากกว่าผู้หญิงมากซึ่งการผมร่วงนี้จะเริ่มเกิดขึ้น เมื่ออายุ 25-30 ปีสำหรับผู้หญิงจะผมร่วงโดยเริ่มจากการที่ผมเส้นเล็กลง และสั้นเมื่อลูบผมก็จะมีผมเส้นบางและสั้นติดมือมาสาเหตุผมร่วงชนิดนี้เป็น สาเหตุชนิดเดียวที่มักจะทำให้เกิดผมร่วงถาวร หรือหัวล้านนั่นเอง
- ยา ยาบางชนิดโดยเฉพาะที่ใช้รักษามะเร็งทำให้ผมร่วงได้ นอกจากยารักษามะเร็งแล้วยารักษาความดันโลหิต, ยาต้านการซึมเศร้า,ยาคุม และวิตามินเอขนาดสูง ก็ทำให้ผมร่วงได้ แต่เป็นการร่วงชั่วคราวเท่านั้น
- เมื่อลูบผมก็จะมีผมเส้นบางและสั้นติดมือมา สาเหตุผมร่วงชนิดนี้เป็นสาเหตุชนิดเดียวที่มักจะทำให้เกิดผมร่วงถาวร หรือหัวล้านนั่นเองค่ะ
- อาหาร อาหารโปรตีนน้อย รวมทั้งธาตุเหล็กน้อย จะทำให้ผมร่วงได้
- ความเครียด หรือการเจ็บป่วย จะทำให้ผมร่วงได้ 1-3 เดือนเลยทีเดียว
- การคลอดลูก ผู้หญิงหลังคลอดจะมีผมร่วงได้ภายใน 2-3 เดือนหลังคลอด
- เป็นโรคไทรอยด์ ก็ทำให้ผมร่วงได้เชื้อราของหนังศีรษะ ซึ่งต้องรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง สำหรับการรักษานั้นก็ขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดผมร่วงยกเว้นสาเหตุเดียว ที่มักจะเป็นผมร่วงถาวร คือสาเหตุจากอายุและพันธุกรรม ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่อาจจะเลือกการใส่ วิกผม, รับประทานยากระตุ้น, และผ่าตัดปลูกถ่ายผม